ช่วงนี้มีข่าวใหญ่และสร้างความสั่นสะเทือนในวงการยุติธรรม กรณีนักโทษคดีอุกฉกรรจ์

บทความวันที่ 2 พ.ย. 2566, 10:47

มีผู้อ่านทั้งหมด 915 ครั้ง

คดีแหกคุกของเสี่ยแป้ง นครศรีธรรมราช
            ช่วงนี้มีข่าวใหญ่และสร้างความสั่นสะเทือนในวงการยุติธรรม กรณีนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ หลบหนีจากโรงพยาบาลมหาราช จ.นครศรีธรรมราช เนื่องจากอ้างว่าตนเองป่วย ปวดฟัน หลังจากนั้นก็แกล้งเป็นลมหมดสติ  ต่อมาก็มีคนมาเฝ้าไข้และเอากุญแจผีมาไขข้อเท้าและโซ่ ส่วนผู้คุมเรือนจำที่มาเฝ้าก็ปล่อยปละละเลย จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังเดินออกจากโรงพยาบาลไปอย่างลอยนวล หลังจากการเกิดเหตุ 3 ชม. จึงแจ้งตำรวจติดตามหาตัว จนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวได้ เนื่องจากทำเป็นขบวนการมีการช่วยหลบหนี พาหนี ตั้งค่าหัว 100,000 บาท ยังจับไม่ได้ เพิ่มค่าหัวเป็น 1 ล้านบาทก็ยังจับไม่ได้ คดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญ สำหรับนักโทษ VIP มีสิทธิพิเศษติดคุก ไม่ต้องนอนคุก นอนโรงพยาบาล 
          เกี่ยวกับคดีนี้จะนำความรู้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการหลบหนีจากที่คุมขัง และความผิดเกี่ยวกับเรื่องช่วยให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขังมีความผิดอย่างไรบ้าง ลองมาศึกษากันนะครับ
              ฐานความผิดแรกเกี่ยวกับการหลบหนีจากที่คุมขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 190  การหลบหนีไประหว่างถูกคุมขังตามอำนาจของศาล ถ้ากระทำโดยวิธีการแหกที่คุมขังหรือแหกคุก จะมีโทษหนัก แต่ถ้ากระทำร่วมกันกระทำความผิดตังแต่สามคนขึ้นไปโทษก็จะหนักเหมือนกัน  รายละเอียดปรากฏตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา190 หัวใจสำคัญของความผิดคือต้องหลบหนีจากที่คุมขัง เช่น ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน เป็นต้น   (อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8315/2561 และฎีกาที่ 4915/2537)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8315/2561
          ความหมายของคำว่า เจ้าพนักงานตาม ป.อ.นั้น นอกจากกฎหมายระบุไว้ชัดว่าเป็นเจ้าพนักงานแล้ว  ยังหมายความรวมถึงบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่ว่าจะเป็นประจำหรือครั้งคราวและไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่  ภ.ผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นพนักงานราชการ  ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานมีหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับป่าไม้  ภ.จึงเป็นบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ มีหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ภ.จึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาในความผิดเกี่ยวป่าไม้  การที่จำเลยสลัดเชือกหลุดแล้ววิ่งหลบหนี  จึงเป็นการหลบหนีที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา  ไม่จำต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาและมีสิทธิตามกฎหมายแก่จำเลยก่อนแต่อย่างใด  จำเลยมีความผิดฐานหลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4915/2537
             จำเลยถูกคุมขังระหว่างสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาฐานชิงทรัพย์ขณะเจ้าพนักงานตำรวจนำจำเลยออกจากห้องขัง จำเลยวิ่งหลบหนีออกมาไม่ว่าเจ้าพนักงานตำรวจจะติดตามจับกุมจำเลยได้หรือไม่ก็ตามการกระทำของจำเลยย่อมเป็นการหลบหนีไปในระหว่างที่ถูกคุมขังของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเป็นความผิดสำเร็จแล้ว
             แต่ถ้าเป็นกรณีที่หลบหนีไปในระหว่างที่มีการควบคุมตัว ไม่เป็นการหลบหนีตามมาตรา 190 (ฎีกาที่ 1761/2522)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1761/2522
           ตำรวจบอกให้จำเลยไปสถานีตำรวจโดยลำพังเพราะรู้จักจำเลยดี ยังไม่ถูกจับและควบคุม ยังไม่มีการหลบหนีตามมาตรา190
           หากไม่มีการควบคุมตัวแม้จะมีการทำบันทึกจับกุมก่อนจำเลยหลบหนีไปไม่ผิดตามมาตรานี้เช่นกัน(ฎีกาที่ 2159/2528)  
ขณะหลบหนีไม่มีการควบคุมตัวไม่มีความผิด (ฎีกาที่ 184/2507 และฎีกาที่ 293/2507)
           ในกรณีไม่ได้อยู่ในระหว่างคุมขัง จำลยหลบหนีไปไม่มีความผิด เช่น ไปตลาดตามคำสั่งของพัศดีหรือกลับจากโรงพยาบาลโดยไม่มีผู้ควบคุมตัว ไม่ถือว่ามีเจตนาหลบหนี ระหว่างคุมขัง (ฎีกาที่ 307/2511 และฎีกาที่ 313/2498)
            ต่อมาความผิดฐานช่วยให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขัง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 191 องค์ประกอบ กระทำด้วยประการใดให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาลหลุดพ้นจากการคุมขัง  (ฎีกาที่ 391/2509 และฎีกาที่ 2159/2518)
             สุดท้ายนี้ ฝากระวังไปยังกรมราชทัณฑ์ในการที่จะให้นักโทษ VIP ไปนอนโรงพยาบาลหรือรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพราะนักโทษเหล่านี้มักจะมีแผนการที่จะหลบหนีล่วงหน้า เพราะมีเงิน มีเส้น มีคอนเนคชั่น  สามารถใช้เงินซื้อตัวเจ้าหน้าที่ได้ ทำให้กระบวนการยุติธรรมสั่นครอนและทำให้เห็นว่า คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น ส่วนคนจน คนมีเส้นมีสาย นอนโรงพยาบาลและสามารถหลบหนีไม่ต้องถูกควบคุมตัวในคุกได้ ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมต้องเท่าเทียมกันครับ