กฎหมายเป็นคุณ(ประมวลกฎหมายยาเสพติด)
การกระทำความผิดถ้าในขณะกระทำความผิด บทลงโทษที่กฎหมายกำหนด มีบทลงโทษที่หนักกว่ากฎหมายที่ออกใหม่ กฎหมายที่ออกใหม่ก็จะเป็นคุณกับผู้กระทำความผิด ศาลก็จะนำกฎหมายใหม่ที่เป็นคุณกับผู้กระทำความผิดมาปรับใช้กับผู้กระทำความผิด ในวันนี้ทนายคลายทุกข์ขอนำคำพิพากษาของศาลฎีกาฉบับใหม่ล่าสุด เกี่ยวกับการวินิจฉัยเรื่องกฎหมายที่เป็นคุณ มานำเสนอให้พี่น้องประชาชนได้ศึกษา รายละเอียดปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาข้างล่างนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3407/2565
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลา และสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายปณิธิ หรือเติ้ล ฉายอรุณ นายอภิเดช หรือนก อู่สุวรรณ นายสุชาติหรือแบงค์ ใจชื้น นายยศภัทรหรืออาร์ท บัวพาวัน และนายอุกฤษหรือเจมส์ วีระวงศ์ ได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ดกลมแบบ 500,000 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธ์ได้ 8,123.054 กรัม เป็นของกลาง ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกนายปณิธิกับพวกและสั่งริบเมทแอมเฟตามีน ของงกลางดังกล่าวแล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 2201/2562 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน กับฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาสอดคล้องต้องกันโดยไม่มีพิรุธ มีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยร่วมกับนายฐาปนันท์และพวกกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับโดยในมาตรา 4 ให้ยกเงิก พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2564 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน แต่มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ยังคงให้บทบัญญัติที่ให้สันนิษฐานว่าเป้นการกระทำเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปทั้งฉบับ มีผลใช้บังคับแก่คดีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้บังคับจนกว่าคดีจะถึงที่สุด บทสันนิษฐานตามกฎหมายเดิมในมาตรา 15 ที่ว่า การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามปริมาณที่กำหนดให้สันนิษฐานว่าเป็นการมีไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงยังมีผลใช้บังคับต่อไปในคดีนี้ที่ยังไม่ถึงที่สุด และตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงยังคงเป็นความผิดอยู่ แต่นำไปรวมไว้เป็นความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามกฎหมายใหม่ มาตรา 90 , 145 และคำว่า “ความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด” หมายความว่า ความผิดที่เกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติด เว้นแต่ มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และหมายความรวมถึงการสมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือหรือพยายามกระทำความผิดด้วย เมื่อตามกฎหมายเดิม มาตรา 15 ประกอบมาตรา 66 บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นโดยถือเอาเพียงปริมาณของยาเสพติดเป็นสำคัญ แต่กฎหมายใหม่มาตรา 145 บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นโดยถือพฤติการณ์ในการกระทำความผิดและบทบาทหน้าที่ในการกระทำความผิดเป็นสำคัญ ไม่ได้ถือเอาเพียงปริมาณดังเช่นกฎหมายเดิมอีกต่อไป ถ้าผู้กระทำผิดมีพฤติการณ์หรือบทบาทหน้าที่ตามกฎหมายใหม่มาตรา 145 วรรคสองหรือวรรคสาม ศาลย่อมมีอำนาจปรับบทความผิดตามมาตรา 145 วรรคสองหรือวรรคสามได้ ส่วนการกำหนดโทษก็ต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณ ทั้งกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ไม่ว่าในทางใด ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ซึ่งปัญหาว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 145 วรรคใดนั้น คดีนี้ทางนำสืบของโจทก์ปรากฎข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับพวกร่วมขบวนการค้ายาเสพติดและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมากถึง 500,000 บาท ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ต้องปรับบทกำหนดโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ (2) ที่มีระวางทาจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 5,000,000 บาท หรือประหารชีวิต สำหรับความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 8 วรรคสอง นั้น กฎหมายใหม่ยังคงบัญญัติให้เป็นความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ตามาตรา 127 วรรคหนึ่ง ถ้าได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ผู้สมคบนั้นต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามาตรา 127 วรรคสอง ซึ่งคือความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 127 วรรคสอง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความอาญา 195 วรรคสอง และมาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90 , 127 วรรคสอง , 145 วรรคสาม (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียว จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 5,000,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 , 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี นอกจากที่แก้ไปเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
กฎหมายที่ออกใช้ภายหลังเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า ศาลต้องบังคับตามกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลย