ซื้อรถยนต์นำเข้าไม่เสียภาษี บอกล้างได้ เป็นโมฆียะ เพราะสำคัญผิดในสาระสำคัญ|ซื้อรถยนต์นำเข้าไม่เสียภาษี บอกล้างได้ เป็นโมฆียะ เพราะสำคัญผิดในสาระสำคัญ

ซื้อรถยนต์นำเข้าไม่เสียภาษี บอกล้างได้ เป็นโมฆียะ เพราะสำคัญผิดในสาระสำคัญ

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

ซื้อรถยนต์นำเข้าไม่เสียภาษี บอกล้างได้ เป็นโมฆียะ เพราะสำคัญผิดในสาระสำคัญ

  • Defalut Image

คำพิพากษาฎีกาที่ 4084/2567

บทความวันที่ 17 มิ.ย. 2568, 17:07

มีผู้อ่านทั้งหมด 178 ครั้ง


ซื้อรถยนต์นำเข้าไม่เสียภาษี บอกล้างได้ เป็นโมฆียะ เพราะสำคัญผิดในสาระสำคัญ
#รถนำเข้า #รถจดประกอบ 

คำพิพากษาฎีกาที่ 4084/2567
              การบอกล้างโมฆียกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ให้คู่กรณีได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมทุกกรณีแม้การคืนทรัพย์ที่เคยรับไว้ให้แก่คู่กรณีจะพ้นวิสัยเพราะทรัพย์นั้นสูญหายหรือบุบสลาสหมดสิ้นไม่อาจคืนแก่ได้ หรือคืนได้แต่ทรัพย์นั้นมีความชำรุดบกพร่องหรือบุบสลายบางส่วน ส่วนที่ชำระบกพร่องหรือบุบสลายนั้นถือเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ฝ่ายมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์ต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าสินไหมทดแทนแทนโดยไม่ต้องพิจารณาถึงความสุจริตของฝ่ายที่รับทรัพย์สินว่าจะได้รับนั้นไว้โดยสุจริตหรือไม่
    จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์ซึ่งโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์ตลอดมา ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษยึดอายัดรถยนต์พิพาทเพื่อตรวจสอบ หลังจากนั้น 1 เดือนเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้คืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์กลับไปครอบครองดูแลโดยไม่ได้ห้ามโจทก์ได้คืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์กลับไปครอบครองดูแลโดยไม่ได้ห้ามโจทก์ได้คืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์กลับไปครอบครองดูแลโดยไม่ได้ห้ามโจทก์นำรถยนต์ออกใช้ประโยชน์ ถือว่าโจทก์ได้ใช้ประโยชน์ในรถยนต์พิพาท นับแต่นั้นตลอดมานับตั้งแต่จำเลยที่ 1 ส่งมอบให้โจทก์จนถึงปัจจุบัน รถยนต์พิพาทย่อมชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมสภาพหรือเสื่อมราคากรณีเป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะต้องคืนรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ในสภาพเดิมได้ ค่าเสื่อมราคาจากการใช้ประโยชน์ในรถยนต์พิพาทของโจทก์จึงเป็นค่าเสียหายชดใช้แทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 176 วรรคหนึ่ง
    ค่าเสียหายชดใช้แทนในการกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ศาลมีอำนาจกำหนดให้ได้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้ให้การและนำสืบถึงเรื่องค่าเสียหายหรือค่าเสื่อมราคาก็ตาม
    โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 39,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
    จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 39,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 กันยายน 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนแก่จำเลยที่ 1 ทั้งนี้ ให้อยู่ภายใต้คำสั่งและหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีอาญา โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ กับให้จำเลยที่ 1  ชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้น โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
    จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ 
    ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 15,000,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวัน่ที่ 10 กันยายน 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ 
    โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
    ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2552 โจทก์สั่งซื้อรถยนต์ ยี่ห้องลัมโบร์กีนี รุ่นเมอร์ซีเอลาโก เอสวี จากจำเลยที่ 1 ในราคา 39,000,000 บาท และชำระราคาครบถ้วนตามสัญญาแล้ว จากจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์และดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์พิพาทเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2553 โดยใส่ชื่อธนาคาร ธ. จำกัด (มหาชน) ผู้ให้เช่าซื้อ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และโจทก์เป็นผู้ครอบครองโดยใช้หมายเลขทะเบียน... กรุงเทพมหานคร ต่อมาวันที่ 4 มิถุนายน 2556 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตรวจยึดรถยนต์พิพาท และแจ้งอายัดทะเบียนรถยนต์เพื่อตรวจสอบเนื่องจากมีเหตุสงสัยว่า รถยนต์พิพาทถูกลักลอบนําเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงราคา ข้อห้าม ข้อจํากัด และหลีกเลี่ยงอากรขาเข้าหรือที่ยังมิได้ผ่านพิธีการ ของศุลกากรโดยถูกต้อง วันที่ 16 กรกฎาคม 2556 กรมสอบสวนคดี พิเศษอนุญาตให้โจทก์รับรถยนต์พิพาทกลับไปดูแลรักษา กรมสอบสวน คดีพิเศษตรวจสอบแล้วพบหลักฐานราคาจากประเทศต้นกําเนิดเป็นจํากัด บัญชีราคาสินค้า (INVOICE) ที่แท้จริงของรถยนต์พิพาทมีชื่อบริษัท บ. จํากัด ตัวแทนจําหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศของบริษัทแลมโบกินี่ ผู้จําหน่ายรถยนต์พิพาทในสาธารณรัฐอิตาลีเป็นคู่สัญญาแสดง ราคาขาย 286,015 ยูโร แต่เอกสารเกี่ยวกับการนําเข้ารถยนต์พิพาท ที่ยื่นต่อกรมศุลกากรกลับระบุชื่อบริษัท จ. จํากัด เป็นคู่สัญญาและ เปลี่ยนราคาซื้อขายเป็น 98,520 ดอลลาร์สหรัฐ และใบขนสินค้า ที่บริษัท จ. จํากัด ยื่นต่อกรมศุลกากรแสดงราคาไว้ 3,425,555 บาท กรมศุลกากรคํานวณภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนําเข้าตามราคาซื้อ ขายในบัญชีราคาสินค้า (INVOICE) ที่แท้จริง 12,634,994.64 บาท แล้วมียอดภาษีอากรขาด 30,206,477,07 บาท แสดงว่ามีการ สําแดงบัญชีราคาสินค้า (INVOICE) รถยนต์พิพาทเป็นเท็จต่อกรม ศุลกากรโดยแสดงราคารถยนต์พิพาทต่ำากว่าความเป็นจริงเพื่อหลีกเลี่ยง ภาษี และรถยนต์พิพาทยังเสียภาษีอากรที่เกี่ยวข้องกับการนําเข้าไม่ครบถ้วน เมื่อจำเลยที่ 1  เป็นผู้ประกอบการค้ารถยนต์นําเข้าจากต่าง ย่อมต้องทราบราคาซื้อขายที่แท้จริงของรถยนต์พิพาทจาก ผู้ผลิตในต่างประเทศ และสามารถคํานวณค่าใช้จ่ายและภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนําเข้าทั้งหมดจากราคาขายในเบื้องต้นออกมาเป็นราคาที่สมควรขายให้แก่ลูกค้าในประเทศ ทั้งตามบัญชีราคาสินค้า (INVOICE) ใบขนสินค้าและใบเสร็จรับเงินค่าขายรถยนต์พิพาทที่บริษัท 1. จํากัด ออกให้จําเลยที่ 1 พบว่าราคารถยนต์ 3,425,555 บาท ภาษีรวมทั้งสิ้น 11,235,916 บาท รวมเป็นเงิน 14,661,500 บาท แต่บริษัท จ. จํากัด ขายให้จําเลยที่ 1 ในราคาเพียง 14,950,000 บาท ในขณะที่จําเลยที่ 1 สามารถนําไปขายให้โจทก์ได้ในราคาสูงถึง 39,000,000 บาท ซึ่งการชําระภาษีไม่ครบถ้วนย่อมก่อให้เกิด ประโยชน์แก่จําเลยที่ 1 กับพวกเป็นผลกําไรจํานวนมาก แสดงว่าการ ดำเนินการเกี่ยวกับสําแดงราคาต่ำกว่าความจริงและชําระภาษีเกี่ยวกับการนําเข้ารถยนต์พิพาทโดยเจตนาฉ้อโกงภาษี จําเลยที่ 1 เกี่ยวข้องด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน การที่โจทก์ตกลงทํา สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกับจําเลยที่ 1 จึงเป็นการแสดงเจตนาทํา นิติกรรมไปโดยสําคัญผิดว่ารถยนต์พิพาทนําเข้ามาโดยชําระค่าภาษีอากรครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว อันเป็นการสําคัญผิดในคุณสมบัติของ ทรัพย์สินซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสําคัญ สัญญาซื้อขายจึงตกเป็น โมฆียะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 157 แม้โจทก์ จะไม่ได้บอกล้างโมมียะกรรม แต่การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เท่ากับเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรมแล้ว  สัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรกคู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 176 วรรคหนึ่ง โจทก์ต้องคืนรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์
         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมที่ต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 176 วรรคหนึ่ง  เป็นเหตุให้ต้องนำค่าเสื่อมราคาของรถยนต์พิพาทมาหักออกจากเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องคืนแก่โจทก์หรือไม่  เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 176 วรรคหนึ่ง บัญญัติ " โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว  ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้  ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทน" ซึ่งผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าวกำหนดให้คู่กรณีได้กลับคืนฐานะเดิมทุกกรณี แม้การคืนทรัพย์จะพ้นวิสัยก็ต้องใช้ค่าเสียหายแทนโดยการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนนั้นอาจเกิดจากการคืนทรัพย์ที่เคยรับไว้ให้แก่คู่กรณีไม่ได้เพราะทรัพย์นั้นสูญหายหรือบุบสลายหมดสิ้นจึงไม่อาจคืนแก่กันได้  หรือคืนได้แต่ทรัพย์นั้นมีความชำรุดบกพร่องหรือบุบสลายไปบางส่วน ส่วนที่ชำรุดบกพร่องหรือบุบสลายนั้นถือเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ฝ่ายมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์จึงต้องใช้ค่าเสียหายแทน ทั้งนี้ โดยไม่ต้องพิจารณาถึงความสุจริตของฝ่ายที่รับทรัพย์สินนั้นเลยว่าจะได้รับทรัพย์สินนั้นไว้โดยสุจริตหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2553  ซึ่งโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์ตลอดมาพิพาทเพื่อตรวจสอบ แต่หลังจากนั้นเพียง 1 เดือนเศษ  กรมสอบสวนคดีพิเศษได้คืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์กลับไปครอบครองดูแลโดยไม่ได้ห้ามโจทก์นำรถยนต์ออกใช้ประโยชน์แต่อย่างใด  จึงต้องถือว่าโจทก์ได้ใช้ประโยชน์ในรถยนต์พิพาทนับแต่นั้นตลอดมา  เมื่อนับตั้งแต่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า 13 ปี รถยนต์พิพาทย่อมชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมสภาพหรือเสื่อมราคาทำให้ราคารถยนต์พิพาทลดลง  กรณีจึงเป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะต้องคืนรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ในสภาพเดิมได้  ค่าเสื่อมราคาจากการใช้ประโยชน์ในรถยนต์พิพาทของโจทก์จึงเป็นค่าเสียหายชดใช้แทนซึ่งค่าเสียหายชดใช้แทนศาลมีอำนาจกำหนดให้ได้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้ให้การและนำสืบถึงเรื่องค่าเสียหายหรือค่าเสื่อมราคาก็ตาม ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้นำค่าเสื่อมราคามาหักจากเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องคืนให้แก่โจทก์ชอบแล้ว  อย่างไรก็ตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสื่อมราคารถยนต์พิพาทเป็นเงิน 24,000,000 บาท นั้นสูงเกินไป  เมื่อพิเคราะห์ถึงราคารถยนต์พิพาทที่โจทก์ซื้อจากจำเลยที่ 1 ระยะเวลาที่โจทก์ใช้ประโยชน์ในรถยนต์พิพาทและรถยนต์ต้องเสื่อมสภาพตามอายุเวลาการใช้งาน ประกอบได้เสียอันชอบด้วยกฎหมายของโจทก์แล้ว  สมควรกำหนดค่าเสื่อมราคารถยนต์พิพาทเป็นเงิน 16,000,000  บาท  เมื่อนำไปหักออกจากราคารถยนต์พิพาทดังกล่าวแล้ว  คงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องคืนแก่โจทก์เป็นเงิน 23,000,000 บาท  ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น  ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน  ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน"
          พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 23,000,000 บาท  แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง(ฟ้องวันที่ 10 กันยายน 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5  ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์  ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่  บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
มีปัญหาข้อกฎหมายสอบถาม 02-948-5700 หรือ 081-616-1425 หรือ 081-625-2161, 081-821-7470

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก