การปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบ
ในช่วงการเลือกตั้งรัฐบาลกำลังกวาดล้างเจ้าหนี้นอกระบบเพื่อสร้างผลงาน ซึ่งการกวาดล้างนายทุนเงินกู้นอกระบบถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะ มีการคิดดอกเบี้ยที่เอาเปรียบลูกหนี้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีทำให้ลูกหนี้ต้องสูญเสียที่ดิน บ้านเรือนที่เป็นหลักประกันให้กับเจ้าหนี้โดยไม่เป็นธรรม นอกจากนี้การทวงหนี้ยังใช้วิธีการรุนแรง เช่น เมื่อเร็วๆนี้มีการบุกเข้าไปในบ้านตอนเที่ยงคืน สวมไอ้โม่งและใช้อาวุธทำลายทรัพย์สิน ซึ่งการปล่อยเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกินสองปีและโทษปรับ ส่วนการทวงหนี้โดยวิธีการข่มขู่ มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และการบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ก็มีโทษทางอาญาอีกส่วนหนึ่ง ทั้งจำทั้งปรับ ทนายคลายทุกข์จึงขอนำตัวบทกฎหมายและแนวคำตัดสินของศาลฎีกาเกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้นอกระบบ และความผิดเกี่ยวกับการทวงหนี้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับนายทุนเงินกู้นอกระบบว่า หากมีการทวงหนี้นอกระบบ หรือปล่อยเงินกู้ที่เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราส่วนใหญ่ศาลจำคุกสถานเดียว และถ้ามีพฤติการณ์ไม่ยำเกรงกฎหมาย ศาลอาจไม่ให้ประกันตัวเหมือนกับคดีที่จังหวัดนครปฐม ตัวอย่างกฎหมายและคำพิพากษาฎีกาข้างล่างนี้
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
1.พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560
มาตรา 4 บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงิน โดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(1) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้
(2) กำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้หรือเรื่องอื่น ๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืมหรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือ
(3) กำหนดจะเอาหรือรับเอาซึ่งประโยชน์อย่างอื่นนอกจากดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือสิ่งของหรือโดยวิธีการใด ๆ จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากเกินส่วนอันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงิน
2.พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558
มาตรา 11 ห้ามผู้ทวงถามหนี้กระทำการทวงถามหนี้ในลักษณะดังต่อไปนี้
(1) การข่มขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการกระทำอื่นใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น
(2) การใช้วาจาหรือภาษาที่เป็นการดูหมิ่นลูกหนี้หรือผู้อื่น
(3) การแจ้งหรือเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้แก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้ เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา 8 วรรคสอง (2)
(4) การติดต่อลูกหนี้โดยไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก โทรสาร หรือสิ่งอื่นใดที่สื่อให้ทราบว่าเป็นการทวงถามหนี้อย่างชัดเจน เว้นแต่กรณีการบอกกล่าวบังคับจำนองด้วยวิธีการประกาศหนังสือพิมพ์ ซึ่งเจ้าหนี้ไม่สามารถติดต่อลูกหนี้โดยวิธีการอื่น หรือกรณีอื่นใดตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
(5) การใช้ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมายในการติดต่อลูกหนี้ที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการติดต่อเพื่อการทวงถามหนี้ เว้นแต่ชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้ไม่ได้สื่อให้ทราบได้ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้
(6) การทวงถามหนี้ที่ไม่เหมาะสมในลักษณะอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ความใน (5) มิให้นำมาใช้บังคับกับการทวงถามหนี้เป็นหนังสือเพื่อจะใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล
มาตรา 41 บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 11 (1) หรือมาตรา 12 (1) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8192/2553 (ทำร้ายร่างกายขณะทวงหนี้ ผิดชิงทรัพย์)
จำเลยมาทวงหนี้จากผู้เสียหายโดยอ้างว่าเป็นหนี้ค่าอาหารบิดาจำเลย แต่ผู้เสียหายไม่ยอมให้ จำเลยจึงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและใช้อำนาจบังคับโดยพลการเอาเงินของผู้เสียหายไป แม้เงินที่เอาไปจะมีจำนวนเท่าที่ผู้เสียหายเป็นหนี้บิดาจำเลยแต่จำเลยก็ไม่มีสิทธิ์ใดๆ โดยชอบที่จะกระทำเช่นนั้นได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาเอาเงินของผู้เสียหายไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5889/2550 (ข่มขู่ให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ผิดกรรโชก)
แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าผู้เสียหายเป็นหนี้มารดาของจำเลยและผิดนัดไม่ชำระหนี้ ก็เป็นกรณีที่มารดาของจำเลยถูกโต้แย้งสิทธิและต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับผู้เสียหายให้ชำระหนี้ตามที่บัญญัติในมาตรา 55 และบทบัญญัติทั้งปวงแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหาก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยในการข่มขืนใจผู้เสียหายยอมหรือจะยอมชำระหนี้นั้นไม่ และไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่เป็นความผิดฐานกรรโชกตาม ป.อ. มาตรา 337 กลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิด
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2496 (ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเกินอัตราไม่มีอยู่ในสัญญากู้)
ความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 นั้น ความสำคัญอยู่ที่การให้กู้โดยเรียกหรือคิดเอาดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่นทำหนังสือสัญญาในการกู้ยืมเงินว่าให้ดอกเบี้ยตามกฎหมายหรือในเอกสารกู้ยืมเงินจะมิได้กล่าวถึงเรื่องดอกเบี้ยเลยแต่ในทางปฏิบัติผู้ให้กู้ได้คิดหรือเรียกเอาดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายได้กำหนดไว้ก็เป็นความผิดตามกฎหมายแล้ว
การปล่อยเงินกู้นอกระบบหากนายทุนต้องการปล่อยเงินกู้ต่อไป ต้องไปขออนุญาตจากราชการจึงจะสามารถคิดดอกเบี้ยได้มากกว่าร้อยละ 15 ต่อปีไม่ต้องฝ่าฝืนกฎหมาย แต่หากยังฝ่าฝืนอยู่ก็อาจติดคุกติดตารางได้นะครับ