การยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเป็นความกัน
ปัจจุบันนี้มีคดีความเกิดขึ้นในสังคมมากขึ้นทุกวัน เนื่องจากมีโซเชี่ยลมีเดียคอยชี้นำให้ต่อต้านสังคมหรือทะเลาะกับคู่กรณีและหลายคนก็เชื่อตามนั้นและมีการดำเนินคดีในชั้นศาลเป็นจำนวนมากทำให้คดีรกโรงรกศาลโดยไม่จำเป็น โดยบางครั้งมีการทำนิติกรรมสัญญาระหว่างผู้ที่ยุยงส่งเสริมกับตัวความ อันมีลักษณะแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียในมูลความแห่งคดีนั้น เช่น การออกทุนให้ต่อสู้คดีการรับสมอ้างเป็นโจทก์ รับจ้างเบิกความเท็จ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยผู้ที่ยุยงส่งเสริมเมื่อชนะคดีก็จะได้รับทรัพย์สินหรือเงินทองตอบแทน ที่ผ่านมามีคดีขึ้นสู่ศาลเกี่ยวกับการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเป็นความกัน ทนายคลายทุกข์ขอนำคดีประเภทนี้มานำเสนอต่อท่านผู้อ่าน
คำพิพากษาฎีกาที่ 5567/2555 (ออกค่าทนายความให้คู่ความ)
โจทก์มิได้เป็นทนายความหากเข้ามาเกี่ยวข้องในมูลคดีที่จำเลยพิพาทกับบุคคลอื่นในฐานะผู้จัดการผลประโยชน์ของจำเลย โจทก์จึงมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในมูลแห่งคดีทั้งปวงที่จำเลยมีข้อพิพาทกับบุคคลอื่นไม่ว่างทางหนึ่งทางใด สัญญาว่าจ้างที่โจทก์กับจำเลยตกลงกันว่า ให้โจทก์เป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของจำเลยในคดีความ ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาโดยให้โจทก์ออกค่าใช้จ่ายค่าทนายความและค่าขึ้นศาลทำขึ้นก็โดยหวังจะได้ส่วนแบ่งจากผลประโยชน์ที่ได้จากการเป็นความกันหรือเข้าไปมีส่วนได้เสียในมูลคดีโดยวิธีการแบ่งเอาส่วนจากผลประโยชน์ที่การเป็นความกัน จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกันโดยโจทก์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี วัตถุประสงค์แห่งสัญญาว่าจ้างจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับเกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกของ ฐ. หรือไม่ โจทก์ย่อมไม่อาจนำสัญญาว่าจ้างมาฟ้องให้จำเลยชำระส่วนแบ่งได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 191/2539 (ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลให้ก่อน)
ข้อตกลงตามสัญญาว่าจ้างว่าความที่ให้โจทก์เป็นทนายความของจำเลยในคดีฟ้องขับไล่ โดยจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี กับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาล ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืนโจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้าง มีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
คำพิพากษาฎีกาที่ 690/2492 (จัดหาทนายความให้)
ทำสัญญากันว่าโจทก์จ่ายเงินให้จำเลยเพื่อจัดหาทนายฟ้องความเรื่องที่ดิน ถ้าจำเลยแพ้คดี เงินนั้นเป็นพับ ถ้าชนะคดี จำเลยยอมโอนที่ดินที่ชนะความให้โจทก์ โดยโจทก์ต้องเลี้ยงดูจำเลยตลอดชีวิต ดังนี้ เป็นสัญญาให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความซึ่งตนไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดี เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน ย่อมเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเป็นโมฆะ โจทก์มาฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาหรือฟ้องเรียกเงินคืนไม่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6294/2545 (ประชุมใหญ่) (รับจ้างเบิกความ)
จำเลยเป็นผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีที่ ล. มารดาโจทก์ฟ้องบังคับให้ ท. จดทะเบียนโอนที่ดิน การที่จำเลยกับ ล. ทำหนังสือสัญญากันระบุว่า ล. จะจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินในคดีที่ ล. พิพาทกับ ท. ให้แก่จำเลยเมื่อคดีถึงที่สุดกับให้เงินสดแก่จำเลยเพื่อตอบแทนที่จำเลยไปเบิกความเป็นพยานให้นั้น แสดงว่าจำเลยยอมไปเบิกความเป็นพยานก็โดยเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้ที่ดินพิพาทและเงินจาก ล. เป็นการตอบแทน จึงเป็นการที่จำเลยแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความของบุคคลอื่น ข้อตกลงตามหนังสือสัญญาจึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
คำพิพากษาฎีกาที่ 2978/2528 (ออกเงินให้จำเลยต่อสู้คดี)
โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีที่จำเลยกับนายทรัพย์พิพาทกัน โจทก์ออกเงินให้จำเลยต่อสู้คดีโดยหวังจะได้ที่ดินที่จำเลยพิพาทกับนายทรัพย์มาเป็นสิทธิของโจทก์ ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือน้องสาวให้ได้รับความยุติธรรมจากศาล จึงเป็นสัญญาให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะ ทั้งจะเรียกเงินที่ออกไปคืนจากจำเลยก็ไม่ได้ เพราะการที่โจทก์ออกเงินไปนั้นเป็นการชำระหนี้อันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย
คำพิพากษาฎีกาที่ 1162-1164/2497 (กรณีไม่เป็นการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเป็นความกัน)
สัญญามีข้อความว่า " ที่ดินมรดกเรื่องนายคำ ร้องคัดค้านนายอ่องซึ่งเป็นส่วนของนางเทียบนายแว้นั้นข้าพเจ้าเป็นน้องนางเทียบนายแว้เป็นผู้รับมรดกที่ดินรายนี้ ข้าพเจ้ายอมยกที่ดินรายนี้มีเท่าใดให้นายอ่องทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าได้รับเงินนายอ่องไป410บาทโดยขายให้นายอ่อง จึงได้ลงลายมือไว้เป็นสำคัญ" ดังนี้ เป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามธรรมดา การที่ผู้ซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งออกเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความให้แก่ผู้ขายที่ดิน เพื่อฟ้องบุคคลผู้ขัดขวางสิทธิเกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นย่อมไม่เป็นการขัดต่อความสงบ เพราะเป็นการป้องกันประโยชน์ส่วนได้เสียตามปกติไม่ใช่เป็นการแสวงประโยชน์จากการที่บุคคลอื่นเข้าเป็นความกัน ผู้ขายได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อและรับเงินไว้บางส่วนแต่ยังไม่ได้โอนเพราะผู้ขายกำลังฟ้องบุคคลที่ 3 เป็นจำเลย เรื่องขัดขวางไม่ยอมให้รับมรดกที่ดินแปลงนั้นภายหลังผู้ขายได้ทำสัญญาประนีประนอมกับบุคคลที่ 3 โดยโอนที่ดินให้เป็นของบุคคลที่ 3 ดังนี้เป็นเหตุให้ผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ บุคคลที่ 3 จึงเข้าลักษณะเป็นผู้ได้ลาภงอกเงยจากผู้ขาย ซึ่งเป็นลูกหนี้เพราะไม่มีทางบังคับชำระได้นิติกรรมที่ผู้ขายโอนให้แก่บุคคลที่ 3 จึงอาจถูกเพิกถอนได้ตาม ป.พ.พ. ม.237
การยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเป็นความกันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายนะครับ