ค่าเสียโอกาสในการนำเงินไปทำธุรกิจ ถือเป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5409/2562
ค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ร่วมอ้างว่า ต้องเสียโอกาสในการนำเงินที่ถูกจำเลยยักยอกไปใช้ดำเนินธุรกิจซื้อขายยางพารา อันเป็นอาชีพของโจทก์ร่วมซึ่งสามารถทำกำไรได้ไม่น้อยกว่าวันละ 5,000 บาท เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ร่วม และยังไม่แน่นอนว่าการดำเนินธุรกิจดังกล่าวจะได้กำไรดังที่โจทก์ร่วมกล่าวอ้างหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องของเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ และมิใช่ค่าเสียหายโดยตรงอันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 438 ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 44/1 ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกายชื่อเสียงหรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้
การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องก่อนเริ่มสืบพยาน ในกรณีที่ไม่มีการสืบพยานให้ยื่นคำร้องก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี และให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งนั้น ทั้งนี้ คำร้องดังกล่าวต้องแสดงรายละเอียดตามสมควรเกี่ยวกับความเสียหายและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้อง หากศาลเห็นว่าคำร้องนั้นยังขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้ร้องแก้ไขคำร้องให้ชัดเจนก็ได้
คำร้องตามวรรคหนึ่งจะมีคำขอประการอื่นที่มิใช่คำขอบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยในคดีอาญามิได้ และต้องไม่ขัดหรือแย้งกับคำฟ้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ และในกรณีที่พนักงานอัยการได้ดำเนินการตามความในมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้