หมอรักษาผิดพลาดถือว่าประมาทร้ายแรงต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกา 2123/2562
โจทก์ทั้งสี่บรรยายฟ้องและนำสืบว่า จำเลยที่ 1 ตรวจรักษาผู้ตายด้วยการผ่าตัดครั้งแรกโดยไม่ตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ก่อนทั้งที่กระทำได้ เมื่อผ่าตัดแล้วพบว่าผู้ตายมิได้เป็นเนื้องอกแต่เป็นการตั้งครรภ์เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจนเป็นอันตรายแก่ร่างกายและอนามัยของผู้ตายและทารกในครรภ์ ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นข้อที่โจทก์ทั้งสี่ยกขึ้นมาแล้วโดยชอบตั้งแต่ชั้นยื่นคำฟ้องและชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น แม้โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้มีคำขอบังคับให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีผลจากการผ่าตัดครั้งแรก ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 รับผิดในส่วนนี้ได้ตามที่บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 39 แต่อำนาจศาลในการยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องหรือกำหนดวิธีการบังคับให้เหมาะสมได้แม้จะเกินกว่าที่ปรากฎในคำขอบังคับของโจทก์ตามมาตรา 39 นี้ นอกจากนี้ต้องอยู่ในบังคับว่าข้อที่ยกขึ้นวินิจฉัยนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่คู่ความยกขึ้นมาว่ากล่าวกันโดยชอบแล้ว ยังต้องอยู่ภายใต้บังคับหลักทั่วไปแห่งหนี้ว่าต้องเป็นกรณีที่โจทก์ในคดีผู้บริโภคเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิจะเรียกให้จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตามอำนาจแห่งมูลหนี้อยู่ด้วย ดังบัญญัติตาม ป.พ.พ.มาตรา 194 หากเป็นกรณีที่ไม่มีมูลหนี้หรือไม่มีสิทธิเรียกร้องต่อกันตามกฎหมายหรือสัญญา ศาลในคดีผู้บริโภคก็หามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยหรือกำหนดวิธีการบังคับเกินกว่าที่ปรากฎในคำขอบังคับไม่ เพราะมิใช่กรณีที่มีสิทธิเรียกร้องแต่คำขอบังคับบกพร่อง
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสี่กรณีผู้ต้องต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาจากการผ่าตัดครั้งแรก ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 3 เพื่อรักษาบาดแผลผ่าตัด และต้องรักษาตัวต่อที่บ้านเป็นเงิน 200,000 บาท นั้น เป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ.มาตรา 446 ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าวบัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนก็ได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว คดีนี้ผู้ตายไม่ได้ฟ้องคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีดังกล่าวไว้ ทั้งไม่ปรากฎว่าเป็นกรณีที่ได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาระหว่างฝ่ายโจทก์กับฝ่ายจำเลย โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ส่วนนี้ดังที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้ เมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจแห่งมูลหนี้ที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคจึงไม่อาจอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 39 กำหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ให้ได้ และย่อมส่งผลให้ไม่อาจสั่งให้จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดให้ได้ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 42 ไปด้วย