คำพิพากษาศาลฎีกาน่าสนใจ|คำพิพากษาศาลฎีกาน่าสนใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาน่าสนใจ

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

คำพิพากษาศาลฎีกาน่าสนใจ

  • Defalut Image

ร่วมกันเรียกค่าไถ่  แม้จะมีคนหนึ่งฆ่าผู้ตาย ถือว่าผิดทุกคน 

บทความวันที่ 24 มิ.ย. 2562, 11:42

มีผู้อ่านทั้งหมด 3485 ครั้ง


คำพิพากษาศาลฎีกาน่าสนใจ

ร่วมกันเรียกค่าไถ่  แม้จะมีคนหนึ่งฆ่าผู้ตาย ถือว่าผิดทุกคน 
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4532/2561

การที่จำเลยทั้งสามกับพวกนำผู้ตายไปกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่แล้วพวกของจำเลยได้ฆ่าผู้ตายนั้น ถือได้ว่าการตายของผู้ตายเป็นผลมาจากการที่จำเลยทั้งสามกับพวกนำผู้ตายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 วรรคท้าย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2561)

ลูกหนี้โอนทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ ทำให้เจ้าหนี้อีกรายเสียหาย ฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลได้ 
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2090/2560

            จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธเพียงว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และเป็นไปตามกระบวนการไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาทของศาลอุทธรณ์ภาค 7 เพื่อหาข้อยุติทางคดีนั้นชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบปและไม่เป็นการฉ้อฉล โดยมิได้ให้การปฏิเสธว่า จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ และ ป. มีเจ้าหนี้หลายราย มีภาระหนี้จำนวนมากและไม่มีทรัพย์สินอื่นที่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ประกอบกับจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วทั้งก่อนและในขณะรับโอนที่ดินพิพาทว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์และรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 และ ป. มีเจ้าหนี้หลายราย  มีภาระหนี้จำนวนมากและไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 กลับเลือกชำระหนี้โดยโอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งของตนไป ย่อมมีผลทำให้ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ลดน้อยลงและโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์บังคับคดีแก่ที่ดินดังกล่าวได้ หรือเสียโอกาสในการขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์หากมีการยึดที่ดินพิพาทโดยเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นการทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบอันเป็นการฉ้อฉล โจทก์มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทได้

ลูกหนี้โอนทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ ลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียว ฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลได้ 
3.  คำพิพากษาฎีกาที่ 5248/2560

           โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 4,000,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว...ฯลฯ แล้ว ย่อมฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้และต้องเสียเปรียบจากการที่ทรัพย์สินของลูกหนี้ลดลงไม่พอชำระหนี้อันเนื่องมาจากการกระทำนิติกรรมฉ้อฉลของลูกหนี้
           การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นลูกหนี้ เมื่อจำเลยที1 ทำนิติกรรมให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา จำเลยที่ 2 ย่อมมีฐานะเป็นผู้ได้ลาภงอก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 237  เพราะผู้ได้ลาภงอกหมายถึง ผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้โดยตรง จำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับจำนองทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อจากผู้ทำนิติกรรมกับลูกหนี้จึงเป็นบุคคลภายนอก ตามความในมาตรา 238 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รับจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ที่กระทำในวันที่ 9 ตุลาคม 2557 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2557 การจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยร่วมจึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นคดีนี้  เมื่อจำเลยร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ทำนิติกรรมจำนองก่อนเริ่มฟ้องคดีขอให้เพิกถอนจำเลยร่วมย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 238 ดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาทั้งที่จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ ซึ่งเพียงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็เป็นเหตุที่จะขอให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 237 วรรคหนึ่งแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยร่วมได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 392/2561, 16167/2557 วินิจฉัยเช่นกัน แต่ถ้าทำนิติกรมก่อนเริ่มฟ้องคดีขอให้เพิกถอนบุคคลภายนอกย่อมได้รับความคุ้มครองตามคำพิพากษาฎีกาที่ 9906/2560)

เจ้าหนี้จำนอง มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ
4. คำพิพากษาฎีกาที่ 3658/2560 

            ตาม ป.พ.พ.มาตรา 237 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ...ดังนั้น นิติกรรมที่ลูกหนี้กระทำลงที่จะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ต้องเป็นนิติกรมที่ลูกหนี้กระทำแล้วมีผลกระทบทำให้ทรัพย์สินของลูกหนี้ลดน้อยลงไม่พอที่จะใช้หนี้แก่เจ้าหนี้ได้
           จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ขายที่ดินพิพาทซึ่งติดจำนองแก่จำเลยที่ 1 แล้วนำเงินไปชำระหนี้ให้แก่ พ. เจ้าหนี้รับจำนอง ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้อยู่ก่อนเจ้าหนี้สามัญรวมทั้งโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 702 วรรคสอง และถึงแม้โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์  พ.เจ้าหนี้จำนองซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิก็ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญ สำหรับโจทก์หากจะมีสิทธิก็ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญ สำหรับโจทก์หากจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากการบังคับคดีพิพาทก็ต่อเมื่อมีเงินเหลือจากการชำระหนี้จำนองให้แก่ พ. ครบถ้วนแล้ว ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าหากมีการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทจะมีราคาสูงและมีเงินเหลือพอชำระหนี้โจทก์ได้แต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 แล้วนำเงินชำระหนี้จำนองให้แก่ พ.ซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิก่อน จึงเป็นการปฎิบัติการชำระหนี้ที่เป็นไปตามลำดับแห่งหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย มิได้เป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบและไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง

ลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องแล้ว เจ้าหนี้ผู้โอนไม่มีสิทธิรับชำระหนี้อีก 
5. คำพิพากษาฎีกาที่ 4855/2561

           โจทก์บอกกกล่าวแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ที่จำเลยที่ 5 มีต่อจำเลยที่ 1 ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งหมด ซึ่งรวมถึงหนี้ค่าสินค้าทั้ง 8 รายการ ซึ่งพิพาทกันนี้แล้ว แม้ในขณะมีหนังสือบอกกล่าวหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ก็ถือว่าเป็นการโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะจงใจโดยทำเป็นหนังสือ จึงสมบูรณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 306 วรรคแรกแล้ว ส่วนจำเลยที่ 5 อ้างว่า ได้ชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 แล้ว ก็เป็นการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ภายหลังจากจำเลยที่ 5 ได้รับการบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องโดยชอบแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิรับชำระหนี้อีก จำเลยที่ 5 ชอบที่จะติดตามเอาคืนจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 5 ไม่อาจหลุดพ้นท่จะต้องชำระหนี้ค่าสินค้าทั้ง 8 รายการให้แก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 306 วรรคสอง

ที่มา : บทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคหนึ่ง สมัยที่ 72 ปีการศึกษา 2562 เล่มที่ 2


 

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก