ปัจจุบันการตลาดได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว กล่าวคือ จากเดิมเป็นระบบออฟไลน์ขายโดยเน้นหน้าร้าน เน้นตัวสินค้า
บทความวันที่ 9 ธ.ค. 2559, 00:00
มีผู้อ่านทั้งหมด 8229 ครั้ง
กฎหมายที่นักการตลาด 4.0 ต้องรู้
ปัจจุบันการตลาดได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว กล่าวคือ จากเดิมเป็นระบบออฟไลน์ขายโดยเน้นหน้าร้าน เน้นตัวสินค้า เน้นการลดต้นทุน เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเน้นแบรนด์หรือตราสินค้า เปลี่ยนมาเป็นการตลาดแบบ 4.0 โดยเน้นไปที่ค้นหาความต้องการของผู้บริโภค มีความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค อาศัยข้อมูลสำคัญจำนวนมากในโซเชียลมีเดียเป็นหลัก และสามารถทำให้ร่ำรวยชั่วข้ามคืนหรือเป็นที่รู้จักชั่วข้ามคืน รวมทั้งอาจจะเสียชื่อเสียงชั่วข้ามคืน หรือติดคุกชั่วข้ามคืนในเวลาเดียวกัน การทำการตลาดแบบ 4.0 จึงมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง แต่สิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอในวันนี้ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายและผู้บรรยายกฎหมาย คือความรู้ด้านกฎหมายที่นักการตลาด 4.0 ต้องรู้การทำการตลาดทางอินเตอร์เน็ต นอกจากหลักการทำการตลาดและข้อมูลพื้นฐานที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว โดยขอให้ความรู้เป็นรายประเด็นดังนี้
1.ความรู้ด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์
ผู้ที่ใช้การตลาดทางโซเชียลมีเดีย จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะการนำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการนำภาพของบุคคลอื่นมาใช้ประโยชน์ทางการค้า หรือดัดแปลงประกอบคำพูดของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์ซึ่งมีทั้งโทษจำและโทษปรับ
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ข้อมูลคอมพิวเตอร์, มาตรา 14 และมาตรา 16
2.ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองในการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน จะต้องไม่ถูกบังคับให้ซื้อสินค้าและสินค้าที่นำมาขายต้องปลอดภัย และราคาต้องเป็นธรรม รวมทั้งต้องมีมาตรการในการชดใช้ความเสียหาย หากนักการตลาดขายสินค้าโดยหลอกลวงหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือไม่มีความปลอดภัย รวมถึงการทำสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการรับประกันคุณภาพสินค้าหรือการคืนสินค้า จะต้องรับโทษตามกฎหมาย
3.กฎหมายเกี่ยวกับการฉ้อโกงและฉ้อโกงประชาชน
หากผู้ขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตมีเจตนาตั้งแต่แรกที่จะหลอกลวงประชาชน โดยนำเรื่องโกหกหลอกลวงมานำเสนอทางโซเชียลมีเดีย เพื่อหว่านล้อมชักจูงให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าหรือใช้บริการ หรือแสดงตนเป็นคนอื่น เช่น การใช้ชื่อปลอม จนมีผู้หลงเชื่อโอนเงินหรือทรัพย์สินให้กับตน หรือทำให้เข้าใจผิดในแหล่งกำหนด สภาพ คุณภาพ ปริมาณหรือสาระสำคัญ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอันเป็นเท็จ ก็อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, มาตรา 342 และมาตรา 343 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 47 เป็นต้น
4.การรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีกระทำละเมิดทางโซเชี่ยลมีเดีย
การโฆษณาขายสินค้าหรือบริการทางโซเชี่ยลมีเดีย หากเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อ เช่น โฆษณาหลอกลวงหรือทำไม่ได้ตามที่โฆษณาไว้ เป็นเหตุให้ผู้บริโภคหลงเชื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมาตรา 438
5.การจัดทำนิติกรรมสัญญาเกี่ยวกับการซื้อขายหรือการให้บริการ
ผู้ขายสินค้าทางอินเตอร์จะต้องมีการจัดทำสัญญาซื้อขายหรือสัญญาให้บริการให้เป็นสัญญามาตรฐาน และจะต้องตรวจสอบกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคด้วยว่ากิจการที่ทำอยู่ มีกฎหมายควบคุมสัญญาหรือไม่อย่างไรตามพระราบัญญัติ คุ้มครองผู้บริโภค มาตรา 35 ทวิ ,มาตรา 35 เบญจ และมาตรา 35 อัฐฎ เช่น ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์ ธุรกิจการขายก๊าซหุงต้ม บัตรเครดิต และสัญญาต้องไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 ถึงมาตรา 13 ซึ่งอาจทำให้เป็นโมฆะ หรือบังคับได้เท่าที่เป็นธรรม เป็นต้น
6.พระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545
มาตรา 5 ของพระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 3 ได้ให้ความหมายของการทำตลาด ในลักษณะการทำเสนอสินค้าถึงผู้บริโภคโดยตรง มีการสื่อสารข้อมูลเสนอขายสินค้าโดยตรงต่อผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจ จะต้องไม่ชักชวนบุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายโดยตกลงจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการมาร่วมเครือข่ายตามมาตรา 19 และจะต้องจดทะเบียนตามมาตรา 20 หากฝ่าฝืนก็จะมีบทลงโทษ ตามมาตรา 47 ดังนั้น นักการตลาดจึงต้องให้ความสนใจกับกฎหมายขายตรงด้วยนะครับ