งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ
ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ
สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ
รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง
ปัจจุบันมีลูกจ้างสอบถามเกี่ยวกับนายจ้างได้ออกระเบียบคำสั่งลดสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่ควรจะได้รับ ทำให้สิทธิประโยชน์ลดน้อยลง ซึ่งตามกฎหมายแรงงานไม่สามารถทำได้ ยกเว้นลูกจ้างให้ความยินยอม ทนายคลายทุกข์จึงขอนำตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นคุณและเป็นโทษ มานำเสนอให้กับนายจ้างและลูกจ้าง ถ้าการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างลดสิทธิประโยชน์ ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 หากฝ่าฝืนกฎหมายถือว่า คำสั่งหรือระเบียบไม่มีผลผูกพัน
ตัวอย่างคดีการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นคุณและเป็นโทษต่อลูกจ้าง
1.เปลี่ยนทำงานเป็นผลัดหรือเป็นกะ บริษัทนายจ้างจะเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างจากข้อตกลงเดิมเป็นให้ลูกจ้างทำงานเป็นผลัดหรือเป็นกะโดยลูกจ้างไม่ยินยอมไม่ได้เพราะการทำงานเป็นผลัดนั้นไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง
2.เปลี่ยนแปลงสิทธิในการได้รับเงินค่าชดเชยและเงินสงเคราะห์ ข้อบังคับของนายจ้างระบุว่า พนักงานมีสิทธิได้ทั้งเงินชดเชยและเงินสงเคราะห์ ต่อมานายจ้างออกข้อบังคับโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับลงวันที่ 339 กำหนดให้พนักงานที่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยแล้วไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ ข้อบังคับนี้เป็นการลิดรอนสิทธิของลูกจ้าง ไม่เป็นคุณต่อลูกจ้าง จึงไม่มีผลบังคับ
3.พิมพ์คู่มือแจกไม่ถือว่าเป็นการแจ้งข้อเรียกร้องเป็นหนังสือ นายจ้างเพียงแต่พิมพ์คู่มือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับใหม่แจกจ่ายแก่ลูกจ้างได้ศึกษาก่อนเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งข้อเรียกร้องตามความหมายในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 13 วรรคแรก แม้นายจ้างได้เชิญลูกจ้างทั้งหมดเข้ารับฟังการชี้แจงหลังจากวันประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับใหม่ และไม่มีลูกจ้างผู้ใดโต้แย้งการประกาศใช้ข้อบังคับฉบับดังกล่าวก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าลูกจ้างได้ให้ความยินยอมแล้ว
4.ลูกจ้างกระทำผิดวินัยร้ายแรง คำสั่งของนายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานเนื่องจากลูกจ้างกระทำผิดวินัยตามระเบียบการพนักงานของจำเลยและปฏิบัติผิดสัญญาจ้างตามหนังสือสัญญาจ้างโดยให้ออกจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2527 เป็นต้นไป เช่นนี้ เป็นเรื่องลงโทษให้ออกเพราะลูกจ้างทำผิดวินัยตามระเบียบการพนักงาน เมื่อนายจ้างได้ดำเนินการและออกคำสั่งถูกต้องตามระเบียบก็เป็นการเลิกจ้างที่สมบูรณ์แล้ว หาต้องแสดงเจตนาแก่ลูกจ้างอีกไม่
5.ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มิได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มิได้เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องและตกลงกันตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา13,18,22 ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 20 นายจ้างและลูกจ้างย่อมมีสิทธิทำข้อตกลงเปลี่ยนแปลงระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงานให้มีผลบังคับแตกต่างไปจากระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเดิมได้เท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
6.เปลี่ยนวิธีการคำนวณเงินโบนัส การคำนวณเงินโบนัสที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างนั้นลูกจ้างมิได้ยึดถือว่าต้องนำเฉพาะเงินเดือนตามกฎระเบียบข้อบังคับการทำงานดังกล่าวมาใช้บังคับ การที่นายจ้างจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างโดยนำค่าครองชีพมารวมคำนวณด้วยตลอดมาจึงเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง การที่นายจ้างจ่ายเงินโบนัสโดยมิได้นำค่าครองชีพมารวมคำนวณ จึงฝ่าฝืนต่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว
7.เปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนของค่าจ้าง สัญญาจ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างเป็นสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 5 การที่นายจ้างประกาศกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นใหม่นี้ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างมิได้ให้ความยินยอมประกาศของนายจ้างที่กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินขึ้นใหม่ จึงไม่มีผลใช้บังคับ
8. ย้ายจากหัวหน้างานเป็นพนักงานธรรมดา การที่นายจ้างย้ายลูกจ้างจากตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องไปเป็นพนักงานธรรมดาในแผนกตัดเม็ดกระสวยซึ่งเป็นการย้ายโจทก์ไปทำงานในตำแหน่งต่ำกว่าเดิม ทั้งต้องทำงานเป็นกะหมุนเวียนสับเปลี่ยนเวลาเข้าทำงานและออกจากงานตลอดเวลา ไม่มีเวลาทำงานที่แน่นอนเช่นเดิม จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า คำสั่งของนายจ้างที่ให้ย้ายลูกจ้างไปทำงานที่แผนกตัดเม็ดกระสวยจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ
9.เปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาการจ่ายค่าจ้าง การที่นายจ้างเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาการจ่ายค่าจ้างมาเป็นระหว่างเวลา 12 ถึง 13 นาฬิกา ย่อมมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างดังกล่าวและถือไม่ได้ว่าเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่าสภาพการจ้างเดิมนายจ้างจึงไม่มีสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาจ่ายค่าจ้างโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง การเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาการจ่ายค่าจ้างดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 20
10.สวัสดิการเกี่ยวกับการจ่ายเงินบำเหน็จ ระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จเป็นสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้ลูกจ้างทุกคน มิใช่สวัสดิการที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องของลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างตกลงยินยอมให้นายจ้างเปลี่ยนแปลงข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและสวัสดิการเงินบำเหน็จเป็นเงินสะสม และยินยอมให้ถือว่าเงินสะสมเป็นค่าชดเชยด้วยหากเงินสะสมน้อยกว่าค่าชดเชยนายจ้างต้องจ่ายเพิ่มจนครบเท่ากับค่าชดเชย ข้อตกลงของนายจ้างและลูกจ้างดังกล่าวไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 20 มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
11. เปลี่ยนจากลูกจ้างรายเดือนเป็นรายวัน นายจ้างประกาศเปลี่ยนแปลงค่าจ้างลูกจ้างจากรายเดือนเป็นรายวัน ถือว่าประกาศดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างของลูกจ้างซึ่งไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง ลูกจ้างไม่ยอมลงชื่อด้วยจึงเกี่ยวกับเรื่องสภาพการจ้างแล้ว และถือเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรในการที่ลูกจ้างไปสอบถามเจ้าพนักงานตรวจแรงงานหรือนิติกรศาลแรงงาน ไม่ถือเป็นการละทิ้งหน้าที่การงานไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร
12.เปลี่ยนแปลงช่วงเวลาการทำงาน เดิมนายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติของลูกจ้างในฝ่ายผลิต 7.00-16.00 นาฬิกา ต่อมานายจ้างได้เปลี่ยนแปลงช่วงเวลางานของลูกจ้างดังกล่าว เป็น 2 ช่วงเวลา ช่วงที่หนึ่ง 7.00-16.00 นาฬิกา ช่วงที่สอง 16.00-01.00 นาฬิกา แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ลูกจ้างต้องรับภาระที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง
สุดท้ายนี้อยากฝากถึงนายจ้างและลูกจ้าง อย่าอยู่ด้วยกันด้วยความหวาดระแวง อย่าหัวหมอ อย่าอาศัยช่องว่างของกฎหมายเอาเปรียบซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นต่างคนต่างต้องแยกย้ายกันไปเป็นใหญ่เป็นโต