ถ่ายภาพเป็นพยานวัตถุไม่ใช่พยานเอกสาร ไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่ง|ถ่ายภาพเป็นพยานวัตถุไม่ใช่พยานเอกสาร ไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่ง

ถ่ายภาพเป็นพยานวัตถุไม่ใช่พยานเอกสาร ไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่ง

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

ถ่ายภาพเป็นพยานวัตถุไม่ใช่พยานเอกสาร ไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่ง

  • Defalut Image

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4965/2563

บทความวันที่ 31 พ.ค. 2568, 12:59

มีผู้อ่านทั้งหมด 338 ครั้ง


ถ่ายภาพเป็นพยานวัตถุไม่ใช่พยานเอกสาร ไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่ง
#พยานวัตถุ #พยานเอกสาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4965/2563
    ภาพถ่ายที่เกิดเหตุเป็นพยานวัตถุ ไม่ใช่พยานเอกสารไม่อยู่ในบังคับของบทบัญญัติมาตรา 90 จำเลยทั้งสองจึงไม่จำต้องส่งสำเนาให้แก่โจทก์ก่อนวันสืบพยาน ส่วนเอกสารรายการความเสียหายและแผนที่เกิดเหตุ แม้จำเลยทั้งสองมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้โจทก์อันฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของมาตรา 90 ก็ตาม  แต่เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่จะพิสูจน์ถึงการกระทำโดยประมาท ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี  เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของมาตรา 90 ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
     จำเลยที่ 1 ขับมาในระยะกระชั้นชิดจนจำเลยที่ 1 ไม่ทันที่จะห้ามล้อ ซึ่งตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 52 บัญญัติว่า "ในทางเดินรถที่สวนกันได้ ห้ามมิให้ผู้ขับกลับรถหรือเลี้ยวรถทางขวา  ในเมื่อมีรถออื่นสวนหรือตามมาในระยะน้อยกว่าหนึ่งร้อยเมตร เว้นแต่เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางจากจราจรของรถอื่น" การที่โจทก์ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์ที่จำเลยที 1 ขับแล่นสวนทางมาในระยะกระชั้นชิด จึงเป็นการขับรถโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายดังกล่าว  จนเป็นเหตุให้เกิดเหตุเฉียวชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับแล่นสวนทางมา โจทก์จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นด้วย  ซึ่งการกำหนดความรับผิดและค่าสินไหมทดแทน ศาลต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442  ประกอบมาตรา 223 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูงจนไม่สามารถหยุดหรือชะลอความเร็วของรถหรือหลบหลีกได้ทำเมื่อมีเหตุจำเป็นส่วนโจทก์ก็ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ จำเลยที่ 1 กับโจทก์ต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย

มีปัญหาข้อกฎหมายสอบถาม 02-948-5700 หรือ 081-616-1425 หรือ 081-625-2161, 081-821-7470
 

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก