งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ
ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ
สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ
รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ
ฉ้อโกงประชาชนหลอกลวงให้ร่วมลงทุน โดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนอัตราสูงเป็นเครื่องล่อใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2568
โจทก์ทั้งสองโอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสองเพราะเชื่อกลอุบายหลอกลวงของจำเลยทั้งสอง ตั้งแต่ต้นโดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราสูงเป็นเครื่องล่อใจ ซึ่งเป็นวิธีในการหลอกลวงอย่างหนึ่งของจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองยังปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้นำเงินมาลงทุนไปประกอบกิจการใดๆ ที่จะได้รับผลตอบแทนเพียงพอที่จะให้ผู้ฝากออมได้ประโยชน์ โดยโจทก์ที่ 1 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 จะนำเงินไปปล่อยกู้ในบ่อนหรือให้กับนายวงแชร์หรือประกอบธุรกิจใดที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสองไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่เป็นผู้ใช้หรือสนับสนุนหรือรู้เห็นในการกระทำความผิดหรือการกระทำที่มีวัตถุประสงค์ที่ผิดต่อกฎหมายของจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนเป็นความผิดสำเร็จเมื่อผู้เสียหายแต่ละคนหลงเชื่อและแต่ละคนโอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสองโพสต์ในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ แต่ข้อความที่โพสต์ยังคงอยู่ต่อเนื่องตลอดตามวันเวลาในฟ้องและเสนอให้มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่โจทก์ทั้งสองให้ร่วมลงทุนในครั้งต่อไปและโจทก์ทั้งสองโอนเงินให้จำเลยตามวันเดือนปีที่โจทก์ทั้งสองเชื่อซึ่งเกิดจากกลอุบายหรือวิธีหลอกลวงของจำเลยทั้งสองแต่ละครั้ง ความผิดสำเร็จเกิดขึ้นตามที่โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อและโอนให้แก่จำเลยทั้งสองสำหรับการหลอกลวงในแต่ละครั้งสำหรับโจทก์แต่ละคน จำเลยทั้งสองหลอกลวงโจทก์ที่ 1 ให้โอนเงินให้จำเลยทั้งสอง 5 ครั้ง โจทก์ที่ 1 โอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสอง 5 ครั้ง เป็นความผิด 5 กรรมต่างกัน โจทก์ที่ 2 โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยทั้งสอง 3 ครั้ง รวมทุกกระทงแล้ว 8 กรรม
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ถึง วันที่ 22 มีนาคม 2563 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันโพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่ 1 ชักชวนให้โจทก์ที่ 1 บุคคลทั่วไปนำเงินมาลงทุนกับจำเลยทั้งสองแล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงโดยแจ้งว่า “ฝากออมวันที่ 1 มีนาคม 2563 ระยะฝาก 10 วัน จะได้รับผลตอบแทน 14% ของยอดเงินที่ฝาก โดยจะได้รับในวันที่ 10 มีนาคม 2563” โจทก์ที่ 1 คิดว่าได้ผลตอบแทนดีกว่านำไปฝากกับสถาบันการเงิน จึงหลงเชื่อร่วมกันฝากออมกับจำเลยทั้งสองในวันดังกล่าว 100,000 บาท โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนวันที่ 10 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองจ่ายผลตอบแทนให้เพื่อจูงใจโจทก์ที่ 1 ให้ร่วมลงทุนต่อไป ส่วนเงินลงทุนจำเลยทั้งสองนำไปลงทุนต่อ แต่เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนในวันที่ 20 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินลงทุนและผลตอบแทนแก่โจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันโพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่ 1 ชักชวนให้โจทก์ที่ 1 และบุคคลทั่วไปนำเงินมาลงทุนกับจำเลยทั้งสองแล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงโดยแจ้งว่า “ฝากออมวันที่ 5 มีนาคม 2563 ระยะฝาก 14 วัน จะได้รับผลตอบแทน 15% ของยอดเงินที่ฝาก โดยจะได้รับในวันที่ 18 มีนาคม 2563” โจทก์ที่ 1 คิดว่าได้ผลตอบแทนดีกว่านำไปฝากกับสถาบันการเงิน จึงหลงเชื่อร่วมฝากออมกับจำเลยทั้งสองในวันดังกล่าว 100,000 บาท โดยการโอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารของจำเลยที่ 2 เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนวันที่ 18 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองจ่ายผลตอบแทนให้เพื่อจูงใจโจทก์ที่ 1 ให้ร่วมลงทุนต่อไป ส่วนเงินลงทุนจำเลยทั้งสองนำไปลงทุนต่อ แต่เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนในวันที่ 29 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินลงทุนและผลตอบแทนแก่โจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันโพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่ 1 ชักชวนให้โจทก์ที่ 1 และบุคคลทั่วไปนำเงินมาลงทุนกับจำเลยทั้งสองแล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงโดยแจ้งว่า”ฝากออม วันที่ 7 มีนาคม 2563 ระยะฝาก 20 วัน จะได้ผลตอบแทน 30% ของยอดเงินที่ฝาก โดยจะได้รับในวันที่ 25 มีนาคม 2563” โจทก์ที่ 1 คิดว่าได้ผลตอบแทนดีกว่านำไปฝากกับสถาบันการเงิน จึงหลงเชื่อร่วมฝากออมกับจำเลยทั้งสองในวันดังกลาว 100,000 บาท โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 แต่เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทน วันที่ 25 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินลงทุนและผลตอบแทนแก่โจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันโพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่ 1 ชักชวนให้โจทก์ที่ 1 และบุคคลทั่วไปนำเงินมาลงทุนกับจำเลยทั้งสอง แล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงโดยแจ้งว่า “ฝากออมวันที่ 20 มีนาคม 2563 ระยะฝาก 9 วัน จะได้รับผลตอบแทน 12% ของยอดเงินที่ฝาก โดยจะได้รับในวันที่ 29 มีนาคม 2563” โจทก์ที่ 1 คิดว่าได้ผลตอบแทนดีกว่านำเงินไปฝากสถาบันการเงิน จึงหลงเชื่อร่วมฝากออมกับจำเลยทั้งอสงในวันดังกล่าว 50,000 บาท โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 แต่เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนวันที่ 29 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินลงทุนและผลตอบแทนแก่โจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันโพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่ 1 ชักชวนให้โจทก์ที่ 1 และบุคคลทั่วไป นำเงินมาลงทุนกับจำเลยทั้งสอง แล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงโดยแจ้งว่า “ฝากออมวันที่ 22 มีนาคม 2563 ระยะฝาก 3 วัน จะได้รับผลตอบแทน 5% ของยอดเงินฝาก โดยจะได้รับในวันที่ 25 มีนาคม 2563” โจทก์ที่ 1 คิดว่าผลตอบแทนดีกว่านำไปฝากกับสถาบันการเงิน จึงหลงเชื่อร่วมฝากออมกับจำเลยทั้งสองในวันดังกล่าว 100,000 บาท โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 แต่เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนวันที่ 25 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินลงทุนและผลตอบแทนแก่โจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 จำเลยทั้งสองร่วมกันโพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่1 ชักชวนให้โจทก์ที่ 2 และบุคคลทั่วไปนำเงินมาลงทุนกับจำเลยทั้งสอง แล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงโดยแจ้งว่า “ฝากออมวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ระยะฝาก 7 วัน จะได้ผลตอบแทน 6% ของยอดเงินที่ฝาก โดยจะได้รับในวันที่ 18 ธันวาคม 2562 โจทก์ที่ 2 คิดว่าได้ผลตอบแทนดีกว่านำไปฝากกับสถาบันการเงิน จึงหลงเชื่อร่วมฝากออมกับจำเลยทั้งสองในวันดังกล่าว 70,000 บาท โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 1 เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนวันที่ 18 ธันวาคม 2562 จำเลยทั้งสองจ่ายผลตอบแทนให้เพื่อจูงใจโจทก์ที่ 2 ให้ร่วมลงทุนต่อไป ส่วนเงินลงทุนจำเลยทั้งสองนำไปลงทุนต่อ จากนั้นวันที่ 13 มีนาคม 2563 โจทก์ที่ 2 ได้โอนเงินเพิ่มเติมอีก 30,000 บาท แต่เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนวันที่ 28 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินลงทุนและผลตอบแทนแก่โจทก์ที่ 2 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 จำเลยทั้งสองร่วมกันโพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่ 1 ชักชวนให้โจทก์ที่ 2 และบุคคลทั่วไปนำเงินมาลงทุนกับจำเลยทั้งสอง แล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงโดยแจ้งว่า "ฝากออมวันที่ 12 ธันวาคม 2562 จะได้ผลตอบแทน 6% ของยอดเงินที่ฝาก โดยจะได้รับในวันที่ 24 ธันวาคม 2562" โจทก์ที่ 2 คิดว่าได้ผลตอบแทนดีกว่านำไปฝากกับสถาบันการเงิน จึงหลงเชื่อร่วมฝากออมกับจำเลยทั้งสองในวันดังกล่าว 60,000 บาท โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 1 เมื่อครบกำหนดจ่ายค่าผลตอบแทนวันที่ 24 ธันวาคม 2562 จำเลยทั้งสองจ่ายผลตอบแทนให้เพื่อจูงใจโจทก์ที่ 2 ให้ร่วมลงทุนต่อไป ส่วนเงินลงทุนจำเลยทั้งสองนำไปลงทุนต่อ แต่เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนวันที่ 27 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินลงทุนและผลตอบแทนแก่โจทก์ที่ 2 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันโพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่ 1 ชักชวนให้โจทก์ที่ 2 และบุคคลทั่วไปนำเงินมาลงทุนกับจำเลยทั้งสอง แล้วจะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูง โดยแจ้งว่า “ฝากออมวันที่ 22 มีนาคม 2563 ระยะฝาก 3 วัน จะได้รับผลตอบแทน 5% ของยอดเงินที่ฝาก โดยจะได้รับในวันที่ 25 มีนาคม 2563” โจทก์ที่ 2 คิดว่าได้ผลตอบแทนดีกว่านำไปฝากกับสถาบันการเงิน จึงหลงเชื่อร่วมกันฝากออมกับจำเลยทั้งสองในวันดังกล่าว 100,000 บาท โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 แต่เมื่อครบกำหนดจ่ายผลตอบแทนวันที่ 25 มีนาคม 2563 จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินลงทุนและผลตอบแทนแก่โจทก์ที่ 2 การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำโดยทุจริตหลอกลวงโจทก์ทั้งสองและประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราสูงเป็นเครื่องล่อใจให้หลงเชื่อ และโดยปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้นำเงินลงทุนไปประกอบกิจการใดๆ ที่จะได้รับผลตอบแทนเพียงพอที่จะให้แก่ผู้ฝากออมได้ แต่ใช้วิธีนำเงินฝากจากผู้ฝากออมรายหลังหมุนเวียนจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ฝากออมรายก่อน และการหลอกดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ทั้งสองและบุคคลอื่นและเป็นการร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชนทั่วไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91,341,343 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(1) ให้นับโทษจำคุกจำเลยทั้งสองต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 330/2563 ของศาลจังหวัดพัทยา และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ1006/2563, อ 1007/2563, อ 1008/2563 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ทั้งสองขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 434 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุก กระทงละ 4 ปี รวม 8 กระทง เป็นจำคุกคนละ 32 ปี แต่ให้จำคุกคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) ส่วนที่โจทก์ทั้งสองขอให้นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 330/2563 ของศาลจังหวัดพัทยา และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 1006/2563, อ 1007/2563, อ 1008/2563 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากศาลจังหวัดพัทยามีคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว ส่วนคดีอื่นๆ ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขอส่วนนี้ให้ยก กับยกฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(1)(ที่ถูก 14 วรรคหนึ่ง(1))
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความทั้งสองไม่ได้โต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มแชร์และวงออมเงินใช้หรือเคยใช้ในแอปพลิเคชันไลน์ ชื่อว่า ....และ....ตามเอกสารหมาย จ.3 โจทก์ที่ 1 มีชื่อบัญชีผู้ใช้ในแอปพลิเคชันไลน์ว่า....และเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ก. จำกัด(มหาชน) สาขาอุตรดิตถ์ เลขที่บัญชี....และบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. จำกัด(มหาชน) สาขาฟรายเดย์ (อุตรดิตถ์) เลขที่บัญชี....และเงินฝากธนาคาร อ.สาขาฟากท่า เลขบัญชีที่....ตามสำเนาภาพถ่ายแอปพลิเคชันไลน์และสำเนาภาพถ่ายสมุดบัญชีธนาคารเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ที่ 2 มีชื่อบัญชีผู้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ว่า....และเป็นเจ้าของบัญชีธนาคาร ก.จำกัด(มหาชน) สาขาเทสโก้โลตัส อุตรดิตถ์ เลขที่บัญชี....บัญชีธนาคาร อ.สาขาฟากท่า เลขที่บัญชี....และบัญชีเงินฝากธนาคาร ร.จำกัด(มหาชน) สาขาน้ำปาด เลขที่บัญชีตามเอกสารหมาย จ.12 จำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. จำกัด (มหาชน)ชื่อบัญชี....เลขที่บัญชี.... เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 253 โจทก์ที่ 1 โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 เพื่อลงทุนในวงออมเงินกับจำเลยที่ 1 ตามที่ถูกเชิญชวน 5 ครั้ง เป็นเงิน 450,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.9 และโจทก์ที่ 2 โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อลงทุนในวงออมเงินกับจำเลยที่ 1 ตามที่ถูกเชิญชวน 4 ครั้ง เป็นเงินรวม 260,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.13 ถึง จ.15 สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง(1) ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองไม่อุทธรณ์จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อกฎหมายประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2563 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำ กล่าวคือ จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ทั้งสองและประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งโดยการโพสต์เชิญชวนโจทก์ทั้งสองและสมาชิกหรือบุคคลทั่วไปให้หลงเชื่อว่าร่วมฝากออมเงินกับจำเลยทั้งสองจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้สูงเป็นเครื่องล่อใจเพื่อให้โจทก์ทั้งสองหรือผู้อื่นที่หลงเชื่อ โดยปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งที่จำเลยทั้งสองไม่ได้นำเงินไปลงทุนประกอบกิจการใดที่จะได้ผลตอบแทนเพียงพอที่จะให้แก่ผู้ฝากออมได้และใช้วิธีนำเงินที่ได้จากผู้ฝากออมรายหลังมาหมุนเวียนจ่ายเป็นผลตอบแทนแก่ผู้ฝากออมรายก่อน และการหลอกลวงดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองและบุคคลอื่น โดยจำเลยทั้งสองรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนจะนำเงินจากโจทก์ทั้งสองและบุคคลอื่นโดยจำเลยทั้งสองรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนจะนำเงินจากโจทก์ทั้งสองหรือบุคคลอื่นที่หลงเชื่อมาจ่ายหมุนเวียนให้โจทก์ทั้งสอง หากโจทก์ทั้งสองทราบความจริงจะไม่โอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสอง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการหลอกลวงโจทก์ทั้งสองให้หลงเชื่อและนำเงินไปร่วมฝากเงินแก่จำเลยทั้งสองเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย เห็นว่า ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องดังกล่าวมีบทกฎหมายเพื่อประสงค์จะคุ้มครองโจทก์ทั้งสองและบุคคลทั่วไป การที่โจทก์ทั้งสองโอนเงินร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมรับรู้ในการกระทำความผิด หรือไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนในการเป็นผู้ใช้หรือสนับสนุนหรือรู้ในการกระทำความผิด หรือไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนในการเป็นผู้ใช้หรือสนับสนุนหรือรู้ในการกระทำความผิดหรือการกระทำที่จำเลยทั้งสองกระทำมีวัตถุประสงค์ที่ผิดต่อกฎหมาย ดังนั้น การที่โจทก์ทั้งสองโอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสองจึงเป็นการเชื่อจากกลอุบาย การหลอกลวงของจำเลยทั้งสองมาตั้งแต่ต้นโดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราสูงเป็นเครื่องล่อใจ ซึ่งเป็นวิธีในการหลอกลวงอย่างหนึ่งของจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองยังปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้นำเงินลงทุนไปประกอบกิจการใดๆ ที่จะได้รับผลตอบแทนเพียงพอที่จะให้ผู้ฝากออมได้ประโยชน์ ได้ความว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 จะนำเงินไปปล่อยกู้ในบ่อนหรือให้กับนายวงแชร์หรือประกอบธุรกิจใดที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้มีส่วนในการกระทำความผิดหรือไม่เป็นผู้ใช้หรือสนับสนุนหรือรู้เห็นในการกระทำความผิดหรือการกระทำที่มีวัตถุประสงค์ที่ผิดต่อกฎหมายของจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงมีอำนาจฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประการต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 โพสต์ข้อความในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์ของจำเลยที่ 1 ชักชวนให้โจทก์ทั้งสองลงทุนเพียงครั้งเดียว ถือว่ามีเจตนาเดียวจึงเป็นความผิดกรรมเดียวนั้น เห็นว่า ความผิดฐานร่วมฉ้อโกงประชาชนนั้น ความผิดสำเร็จอยู่ที่ผู้เสียหายแต่ละคนหลงเชื่อโอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองโพสต์ลงในกลุ่มแอปพลิเคชันไลน์แต่เมื่อข้อความที่โพสต์ยังคงอยู่ต่อเนื่องตลอดตามวันเวลาที่อยู่ในฟ้อง และเสนอให้มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่โจทก์ทั้งสองมาเป็นการยืนยันให้ร่วมลงทุนในครั้งต่อไปและโจทก์ทั้งสองมาเป็นการยืนยันให้ร่วมลงทุนในครั้งต่อไปและโจทก์ทั้งสองโอนเงินให้แก่จำเลยตามวันเดือนปีที่โจทก์ทั้งสองเชื่อซึ่งเกิดจากกลอุบายหรือวิธีการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองแต่ละครั้ง ความผิดสำเร็จจึงเกิดขึ้นตามการโอนเงินที่โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อและโอนให้แก่จำเลยทั้งสองสำหรับการหลอกลวงในแต่ละครั้ง สำหรับโจทก์แต่ละคน เมื่อได้ความว่า จำเลยทั้งสองหลอกลวงโจทก์ที่ 1 ให้โอนเงินให้จำเลยทั้งสอง 5 ครั้ง โจทก์ที่ 1 โอนเงินให้แก่จำเลยทั้งสอง 5 ครั้ง จึงเป็นความผิด 5 กรรมต่างกัน และการที่โจทก์ที่ 2 โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยทั้งสองตามคำหลอกลวงของจำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองหลอกลวงโจทก์ที่ 2 จำนวน 3 ครั้ง แม้จะโอนเงินให้จำเลยทั้งสองสำหรับการหลอกลวงโจทก์ที่ 2 จำนวน 3 ครั้ง แม้จะโอนเงินให้จำเลยทั้งสองสำหรับการหลอกลวงครั้งแรกรวม 2 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว แต่โจทก์ที่ 2 ยังโอนเงินให้จำเลยทั้งสองอีกตามที่ถูกหลอกลวงอีก จึงเป็นความผิดอีก 2 กรรม แยกต่างหากจากกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง รวม 8 กรรม ตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน
ปรึกษาข้อกฎหมายสอบถาม 02-948-5700 หรือ 081-616-1425 หรือ 081-625-2161, 081-821-7470