พักงาน ในวิกฤตโควิด 19
ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ก่อนที่นายจ้างจะดำเนินการใดๆ นายจ้างควรทบทวนให้รอบคอบก่อนออกคำสั่งเสียก่อน (ที่มา ผศ. ปานทิพย์ พฤกษาชลวิทย์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news)
การกำหนดลูกจ้างเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยงโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะเลิกจ้างทันทีตามปกติทุกคนมีเสรีภาพในการเคลื่อนไหวหรือเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้และอำนาจควบคุมของนายจ้างก็มีได้ในระหว่างการทำงานเท่านั้น หากนายจ้างเลิกจ้าง อาจเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49
ส่วนการหยุดประกอบการชั่วคราวโดยไม่จ่ายเงินในระหว่างนั้นเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโรค หรือจำเป็นต้องหยุดประกอบกิจการชั่วคราวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะความต้องการในการผลิตสินค้าหรือให้บริการลดลงมาก กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้ให้นายจ้างที่จำเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราวจ่ายเงินให้กับลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างปกติ ยกเว้นกรณีการหยุดประกอบการอันเนื่องจากเหตุสุดวิสัย กฎหมายกำหนดให้นายจ้างสามารถหยุดประกอบการชั่วคราวได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินใดให้ลูกจ้างในระหว่างนั้น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75
1.คำพิพากษาฎีกาที่ 6960/2548
นายจ้างประสบปัญหาด้านการตลาด คำสั่งซื้อลดลงมาก ทำให้ส่วนการประกอบมีคำสั่งซื้อลดลง ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นที่นายจ้างสามารถสั่งให้หยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวได้ การที่นายจ้างสั่งให้พนักงานในส่วนการประกอบหยุดงานชั่วคราวมีกำหนด 2 เดือนจึงชอบด้วย พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 75 ในช่วงหยุดกิจการชั่วคราว นายจ้างจ่ายค่าจ้างในอัตราร้อยละ 70 ของค่าค่าจ้างในวันทำงาน เบี้ยขยันเดือนละ 1,000 บาทและค่าอาหารเดือนละ 480 บาท รวมแล้วประมาณร้อยละ 80 ของค่าจ้าง นับว่าเป็นคุณแก่ลูกจ้างแล้ว นายจ้างไม่มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างปกติเต็มจำนวนให้แก่ลูกจ้างอีก
2.คำพิพากษาฎีกาที่7675/2548
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประกาศของนายจ้างเป็นเพียงประกาศแจ้งให้ทราบถึงความจำเป็นที่ต้องหยุดกิจการชั่วคราวและจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างในวันทำงานตลอดเวลาที่หยุดกิจการชั่วคราว แต่ไม่ใช่หนังสือเลิกจ้างลูกจ้าง แม้ประกาศจะระบุให้ลูกจ้างพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานทันทีที่ไปประจำทำงานกับนิติบุคคลอื่น ก็เป็นเพียงเงือนไขที่นายจ้างจะใช้สิทธิเลิกจ้างลูกจ้างเท่านั้น การที่ลูกจ้างไปทำงานกับนิติบุคคลอื่น จึงมิใช่เป็นการตกลงเลิกสัญญาจ้างกับนายจ้างอันจะทำให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง แม้ลูกจ้างยังเป็นลูกจ้างในระหว่างหยุดกิจการชั่วคราว แต่นายจ้างมิได้มอบงานให้ทำ ส่วนเงินที่นายจ้างจ่ายมิใช่ค่าจ้างแต่เป็นที่ต้องจ่ายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 75 ซึ่งมิได้บัญญัติห้ามลูกจ้างไปทำงานให้แก่บุคคลอื่นในระหว่างนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว การที่ลูกจ้างไปทำงานให้แก่บุคคลอื่นจึงมิใช่เป็นการละทิ้งหน้าที่หรือทำผิดสัญญาจ้างและไม่เป็นการเอาเปรียบนายจ้างที่รับเงินสองทางเพราะเงินที่นายจ้างจ่ายให้ไม่ใช่ค่าจ้าง เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่ได้กระทำผิด นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย