การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตในขณะเบิกความไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ
1. คำพิพากษาฎีกาที่ 172/2483
ในกรณีที่จำเลยเบิกความมิได้ยืนยันเด็ดขาดเป็นแต่กล่าวไปตามความรู้สึกคิดเห็นนั้น จะลงโทษ จำเลยฐานเบิกความเท็จไม่ได้ และไม่จำต้อง วินิจฉัยว่าคำเบิกความนั้นเป็นข้อสำคัญใมนคดีหรือไม่
2. คำพิพากษาฏีกาที่ 3584/2524
จำเลยเป็นสารวัตรกำนันมีหน้าที่รับแจ้งการเกิดการตายเมื่อมีผู้มาแจ้งว่าพ.ตาย จำเลยก็ออกมรณบัตรให้ไว้โดยจำเลยไม่ทราบว่า พ.ได้ถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ ต่อมาจำเลยได้เบิกความต่อศาลถึงเรื่องการตายของ พ.ตามที่มีผู้มาแจ้ง
และรับว่าจำเลยเป็นผู้ออกมรณบัตรดังนี้ เมื่อจำเลยไม่ได้เบิกความยืนยันถึงการตายของพ. และไม่ได้ยืนยันว่าเป็นความจริงตามคำของผู้มาแจ้งแม้ภายหลังปรากฏว่า พ. ยังมีชีวิตอยู่ ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานเบิกความเท็จ
3. คำพิพากษาฏีกาที่ 697/2508
ในคดีอาญาฐานวางเพลิงที่โจทก์ถูกฟ้องข้อสำคัญในคดีก็คือ โจทก์วางเพลิงหรือไม่จำเลยเบิกความโดยนำข้อความที่ตนได้ยินจากคำพูดบุตรสาวโจทก์ที่พูดว่าโจทก์ ("เป็นหยังตำรวจไม่มาลากคอมันไปบักเพลิงใหญ่") ซึ่งข้อความที่บุตรสาวโจทก์พูดนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ จำเลยไม่ได้ยืนยัน ถือไม่ได้ว่าจำเลยทำผิดฐานเบิกความเท็จ (อ้างฎีกาที่ 172/2483)
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 177 ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นสี่พันบาท