ผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด หากผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่ได้ครอบครองที่ดินตามความเป็นจริง โดยมีบุคคลอื่น มาแย่งการครอบครองหรือครอบครอง โดยมีเจตนายึดถือเพื่อตน คนที่แย่งการครอบครองตามความเป็นจริงย่อมมีสิทธิ์ดีกว่า อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 5639/2555 ฎีกาที่ 9703/2554 ฎีกาที่ 3277/ 2553 ฎีกาที่ 3735/2545
คำพิพากษาฎีกาที่อ้างอิง
คำพิพากษาฎีกา 3277/2553
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การที่มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของเป็นเพียงข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 เท่านั้น ส่วนความจริงผู้ใดจะมีสิทธิครอบครองจะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานว่าผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองการทำประโยชน์ในที่ดิน โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนจึงจะได้สิทธิครอบครองตามมาตรา 1367 ดังนั้น การที่โจทก์มิได้เข้าครอบครอบที่ดินพิพาทเพียงแต่มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3735/2545
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งหก เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันบุกรุกที่ดินพิพาทโดยมิได้แบ่งแยกเนื้อที่ดินที่จำเลยแต่ละคนบุกรุก ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 5 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247 ประกอบมาตรา 245(1)