สิทธิส่วนบุคคลสิทธิในครอบครัวเกียรติยศชื่อเสียงหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมได้รับความคุ้มครองตามธรรมนูญมาตรา 32
การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าทางใดๆจะกระทำมิได้ ทนายคลายทุกข์ขอเรียนว่า การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาครอบครัวของบุคคลอื่นหรือนำมาโพสต์ทาง Facebook ไม่อาจทำได้นะครับ มีความผิดตามกฏหมายครับ คำพิพากษาฎีกาที่ 4301/2541 สิทธิส่วนบุคคลในครอบครัวเกียรติยศชื่อเสียงหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมได้รับความคุ้มครองโจทก์มีปัญหาครอบครัวทะเลาะเบาะแว้งกัน มีปัญหากับพนักงานในสาขาของธนาคารจึงได้ถูกย้ายไปสำนักงานใหญ่คงอยู่ไม่ได้นานต้องถูกไล่ออก "คำพูดดังกล่าวเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่ล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคลมีความผิดฐานหมิ่นประมาท" การแสดงความคิดเห็นผ่านทาง Facebook ไม่จำเป็นต้องไปด่าชาวบ้านเค้าหรอกครับถ้ามีใครมาด่าเราเราก็ไม่ชอบจะไปด่าเค้าทำไมใจเขาใจเราการแสดงความคิดเห็นก็ขอให้แสดงความคิดเห็นโดยสุจริตนะครับเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 34 ถึงแม้จะบัญญัติว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็ตาม แต่การแสดงความคิดเห็นรัฐธรรมนูญก็บัญญัติว่า "ต้องเคารพความเห็นของคนอื่นนะครับและต้องไม่ปิดกั้นความเห็นต่างของบุคคลอื่น" การเล่น Facebook หรือการแสดงความคิดเห็นทาง Facebook ก็ไม่จำเป็นต้องไปด่าคนอื่นเขานะครับเพราะทุกวันนี้ผู้เสียหาย "ก็มีการดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งหลายหมื่นคดีในชั้นศาล" แต่ไม่ได้เป็นข่าวเมื่อไปถึงศาลก็ยอมรับสารภาพต้องไปขอโทษเขาหลายคดีต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนมากก็หลายคดี แต่ไม่ได้เป็นข่าวเท่านั้นเอง เราเองยังไม่อยากให้ใครมาด่าเราแล้วเราจะไปด่าเขาทำไมครับใจเขาใจเรา
ด้วยความปรารถนาดีจากทนายคลายทุกข์
คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4301/2541
สิทธิส่วนบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมได้รับความคุ้มครอง การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารกล่าวข้อความว่า"โจทก์มีปัญหาในครอบครัว ทะเลาะเบาะแว้งกัน มีปัญหากับพนักงานในสาขาถึงได้ถูกย้ายไปสำนักงานใหญ่คงอยู่ไม่ได้นานต้องถูกไล่ออก" ต่อ อ. ลูกค้าของธนาคารย่อมเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่ล่วงสิทธิส่วนบุคคลซึ่งข้อความดังกล่าววิญญูชนทั่วไปย่อมจะเข้าใจได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายสินเชื่อเป็นคนไม่ดีทะเลาะกับสามีมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานจนต้องถูกย้ายและกระทำความผิดร้ายแรงถึงขนาดจะถูกไล่ออกจากงานด้วย จึงเป็นข้อความที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท หาใช่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามีภริยาทะเลาะกันหรือเป็นคำติชมของผู้บังคับบัญชาหรือเป็นการกล่าวคาดคะเนแต่อย่างใดไม่ แต่เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยกล่าวข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ต่อญาติของโจทก์เพียงคนเดียว และข้อความหมิ่นประมาทก็มิได้ทำให้ โจทก์เสียหายมากมายนัก นับว่าเป็นการกระทำความผิดที่มีลักษณะ ไม่ร้ายแรง ที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกและรอการลงโทษนั้น หนักเกินไปควรให้ปรับจำเลย 5,000 บาท