การดำเนินคดีแรงงานกับพนักงานที่ทุจริต
ปัจจุบันทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นราชการ เอกชน รัฐวิสาหกิจ ล้วนต้องประสบกับปัญหาการทุจริตภายในองค์กรทั้งสิ้นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม การทุจริตภายในองค์กรเป็นมะเร็งร้ายขององค์กร บ่อนทำลายความมั่นคงและการเจริญเติบโตขององค์กร และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างวัฒนธรรมให้เป็นองค์กรสีขาวปราศจากการทุจริต
หลายองค์กรจึงจัดให้มีการอบรมสัมมนา โดยคาดหวังว่าจะสร้างความตระหนักให้เห็นพิษภัยของการทุจริตภายในองค์กร,เสริมสร้างวัฒนธรรมสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ ให้เกิดขึ้นภายในองค์กร, ส่งเสริมให้พนักงานร่วมกันเป็นหูเป็นตาเพื่อป้องกันการทุจริตภายในองค์กรและให้รู้เท่าทันคนทุจริตและรู้วิธีการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในองค์กร
สาระสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับการดำเนินคดีแรงงานกับลูกจ้างที่ทุจริตในองค์กร
1. ความหมายของคำว่า “สุจริต” หมายถึงการทำงานไปตามอำนาจหน้าที่ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนายจ้างหรือองค์กรต้นสังกัดไม่ได้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น
ความหมายของคำว่า “ทุจริต” หมายถึงการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งหมายความรวมถึงการโกงและการไม่ซื่อสัตย์ต่อนายจ้าง
2. กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสทุจริต เช่น ติดการพนัน มีปัญหาครอบครัว มีหนี้สินล้นพ้นตัว ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้นายจ้างจะต้องให้ความสำคัญติดตามสอดส่องอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริต
3. การเริ่มต้นหาเบาะแสของผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต จะต้องมีการสร้างชมรมขึ้นในองค์กร เช่น ชมรมสีขาว รวบรวมคนที่มีคุณธรรมและมีความจงรักภักดีต่อองค์กร ช่วยกันเป็นหูเป็นตาถือเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น รวมทั้งการตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์จากลูกจ้างก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้ได้เบาะแสของคนโกงในองค์กร
4. การตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง เมื่อได้เบาะแสไม่ว่าจะมีมูลหรือไม่ ก็ควรจะตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบข้อเท็จจริงในทางลับ เพื่อสืบสวนถึงเรื่องราวของที่มา ถ้ามีพยานหลักฐานเพียงพอว่าลูกจ้างมีส่วนร่วมในการทุจริตก็ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป
5. การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย จะกระทำต่อเมื่อมีการสอบสวนข้อเท็จจริงมาแล้วบางส่วน พอมีมูล การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต้องเป็นไปตามข้อบังคับและระเบียบของนายจ้าง ที่สำคัญจะต้องเปิดโอกาสให้ลูกจ้างที่ถูกกล่าวหาได้มีโอกาสชี้แจงแสดงเหตุผล ตลอดจนพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ การสอบสวนต้องทำในลักษณะเปิดเผย ควรมีผู้บังคับบัญชาของลูกจ้างหรือเพื่อนร่วมงานนั่งเป็นพยานด้วย หากการสอบสวนไม่โปร่งใสในทางปฏิบัติศาลก็จะไม่นำผลการสอบสวนทางวินัยมาเป็นเกณฑ์ส่วนหนึ่งในการวินิจฉัยคดี ทำให้การสอบสวนทางวินัยไม่เกิดประโยชน์ต่อนายจ้าง
6. การตั้งคณะกรรมการเพื่อหาผู้รับผิดชอบทางแพ่ง หลังจากมีการสอบสวนทางวินัยแล้วว่าลูกจ้างได้ทำผิดวินัย เช่น ข้อบังคับระเบียบการทำงาน ก็จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดชอบทางแพ่ง ถ้าเป็นลูกจ้างก็จะต้องสอบสวนว่าผิดสัญญาจ้างหรือไม่ ผิดสัญญาข้อใด ส่วนใหญ่จะผิดสัญญาในข้อที่เกี่ยวกับว่าเป็นลูกจ้างต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อไม่สุจริตก็ต้องสอบสวนต่อไปว่าความเสียหายของนายจ้างเกิดจากความไม่ซื่อสัตย์ของลูกจ้างหรือไม่ ถ้าเป็นผลโดยตรงจากการไม่ซื่อสัตย์หรือคดโกงต้องรับผิดทางแพ่ง ในความผิดฐานผิดสัญญาจ้างแรงงานและละเมิดในเวลาเดียวกัน
7. การตั้งคณะกรรมการเพื่อหาผู้กระทำความผิดทางอาญา เมื่อสอบสวนแล้วลูกจ้างต้องรับผิดทางแพ่ง ต้องสอบสวนต่อไปว่าเข้าองค์ประกอบความผิดทางอาญาหรือไม่ เช่น มีการเอาไปซึ่งทรัพย์ของนายจ้างหรือไม่โดยทุจริต ถ้าเข้าองค์ประกอบความผิดทางอาญาก็ดำเนินคดีอาญาต่อไป ถ้าไม่เข้าองค์ประกอบความผิดทางอาญาก็ดำเนินคดีเฉพาะทางวินัยหรือทางแพ่งเท่านั้น
8. การรวบรวมพยานหลักฐาน ต้องมีเทคนิคในการรวบรวมพยานหลักฐาน เช่น พยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการคดโกงของลูกจ้าง พยานหลักฐานเกี่ยวกับพยานเอกสาร เช่น ลายมือชื่อเป็นต้น พยานวัตถุ เช่น ภาพจากกล้องวงจรปิด เป็นต้น สิ่งที่กล่าวมาเป็นพยานหลักฐานที่มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ต้องรวบรวมให้ครบถ้วน
9. การเริ่มต้นคดีโดยการร้องทุกข์หรือฟ้องเป็นคดีอาญา เมื่อพบการทุจริตและเข้าองค์ประกอบในคดีอาญาต้องรีบดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลเป็นการเร่งด่วน หากเนิ่นช้าจะทำให้พยานหลักฐานสูญหาย
10. การฟ้องเป็นคดีแรงงานต่อศาลแรงงาน หลังจากมีพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว พบการกระทำความผิดชัดแจ้งว่าลูกจ้างเป็นผู้กระทำความผิดทางวินัยและทางแพ่ง นายจ้างก็ควรรีบฟ้องต่อศาลแรงงานเพื่อให้ลูกจ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อไปโดยเร็ว เพื่อให้ได้ทรัพย์สินกลับคืนมา
11.การคัดเลือกพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ เพื่อประกอบการสืบพยานในชั้นศาลแรงงานและศาลในคดีอาญา พยานหลักฐานในทางปฏิบัติมีเป็นจำนวนมาก เช่น พยานบุคคลมีหลายปาก เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลจะต้องคัดเลือกเฉพาะที่เป็นประโยชน์เท่านั้น ไม่ควรรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดมาดำเนินคดีกับลูกจ้าง การคัดเลือกพยานหลักฐานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดเตรียมคดีเพื่อดำเนินคดีกับลูกจ้างที่ทุจริต
สิ่งที่จะป้องกันการทุจริตได้ดีที่สุดต้องเริ่มจากผู้บริหารสูงสุดขององค์กรต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง องค์กรของท่านจึงจะเป็นองค์กรสีขาวครับ