ฟ้องขัดกันเองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผิดทั้งลักทรัพย์และยักยอก|ฟ้องขัดกันเองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผิดทั้งลักทรัพย์และยักยอก

ฟ้องขัดกันเองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผิดทั้งลักทรัพย์และยักยอก

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

ฟ้องขัดกันเองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผิดทั้งลักทรัพย์และยักยอก

  • Defalut Image

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4524/2562

บทความวันที่ 27 พ.ย. 2563, 13:21

มีผู้อ่านทั้งหมด 1655 ครั้ง


ฟ้องขัดกันเองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผิดทั้งลักทรัพย์และยักยอก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4524/2562
              แม้ศาลชั้นต้นจะมีอำนาจตรวจคำคู่ความแต่ปัญหาเรื่องฟ้องในคดีอาญาชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 หรือไม่  เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง  การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกปัญหาฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้อง จึงชอบด้วยกฎหมายหาใช่การพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ
           เมื่อพิจารณาบทบัญญัติ ป.อ.มาตรา 334 เปรียบเทียบกับ ป.อ.มาตรา 352 แล้ว จะเห็นความแตกต่างในสาระสำคัญคือเรื่องการครอบครองโดยความผิดฐานลักทรัพย์ผู้กระทำจะต้องไม่ได้ครอบครองทรัพย์ที่เป็นวัตถุที่มุ่งกระทำต่อด้วยในขณะกระทำความผิดและมีการเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือยินยอม  ส่วนความผิดฐานยักยอกจะเป็นความผิดได้ต่อเมื่อผู้กระทำได้ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด ปัญหาการครอบครองอยู่ที่ใคร จึงมีความสำคัญในการวินิจฉัยว่าการเอาไปจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์และยักยอก
            โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2554 เวลากลางวัน  จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดโดยทุจริตต่อโจทก์หลายบทหลายกรรมต่างกัน โดยจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ได้รับมอบหมายให้ครอบครองจัดการทรัพย์สินโจทก์ มีอำนาจลงลายมือชื่อเบิกถอนเงินเพื่อชำระหนี้โจทก์ตามกฎหมายคือบัญชีโจทก์ของธนาคาร ก. ประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน จำเลยที่ 1 กระทำผิดหน้าที่ของตนสั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมและเช็คเงินสด 11 ฉบับ จากบัญชีโจทก์ให้จ่ายเเข้าบัญชีจำเลยที่ 2 หรือแก่ผู้ถือและจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือเช็คไปถอนเงิน จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์และเบียดบังเอาทรัพย์สินเป็นเงินในบัญชีของโจทก์ในฐานะนายจ้างของตน ขอให้ลงโทษ ตาม ป.อ.มาตรา 22,83,90,91,334,335(7)(11) ,352,353 แสดงว่า โจทก์เองไม่ทราบว่าความจริงเป็นอย่างไรเป็นฟ้องที่ขัดกันเองและขัดต่อลักษณะความผิด เป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์และยักยอกไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158(5)
         การที่ศาลจะมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความแตกต่างกับฟ้องตามมาตรา 192 ได้นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายมาถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา 158(1)ถึง(7) เสียก่อน หากเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องโดยไม่จำต้องพิจารณาการสืบพยานของคู่ความแต่อย่างใด ตามกรณีดังกล่าวศาลย่อมไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ตามความ ป.วิ.อ.มาตรา 192 ได้

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก