การรับฟังพยานซึ่งเป็นญาติพี่่น้องกัน
ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้รับฟังคำเบิกความของพยานที่เป็นญาติกัน ถ้าศาลเห็นว่าพยานคนนั้นเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ หรือข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้การเป็นพยานด้วยตนเองโดยตรง
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1351/2539
ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้รับฟังคำเบิกความของพยานที่เป็นญาติกันหากศาลเห็นว่าพยานเช่นว่านั้นเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชอบด้วยเหตุผลพอให้รับฟังได้ว่าเป็นความจริงศาลก็มีอำนาจรับฟังคำเบิกความของพยานดังกล่าวนั้นได้ ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสองหมายถึงแตกต่างในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดหาใช่แตกต่างเพียงรายละเอียดที่จะต้องกล่าวในฟ้องไม่สำหรับข้อเท็จจริงในเรื่องทำร้ายร่างกายก็คือการทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นดังนั้นที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่4ใช้ไม้ตีโจทก์ทั้งสองแต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบได้ความว่าจำเลยที่4ใช้เหล็กแป๊บตีโจทก์ทั้งสองผลก็คือโจทก์ทั้งสองได้รับอันตรายแก่กายจากการกระทำของจำเลยที่4จึงเป็นการแตกต่างกันมิใช่ข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยที่4ให้การต่อสู้อ้างฐานที่อยู่และมิได้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใดจึงลงโทษจำเลยที่4ได้
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 727/2539
ภ. เป็นบุตรของโจทก์พักอยู่บ้านเดียวกับโจทก์มีอาชีพค้าขายน่าจะทราบเกี่ยวกับกิจการค้าขายของโจทก์เป็นอย่างดีคำเบิกความของ ภ. เกี่ยวกับกิจการค้าขายของโจทก์จึงเป็นประจักษ์พยานไม่ใช่พยานบอกเล่า
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5963/2539
การส่งเอกสารโดยวิธีโทรสารเป็นวิทยาการแบบใหม่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันโดยทั่วไปว่าผู้ส่งจะนำต้นฉบับของเอกสารที่จะทำการส่งไปลงในเครื่องโทรเลขแล้วจัดการส่งโดยวิธีโทรสารไปยังเครื่องโทรสารของผู้รับ ต้นฉบับผู้ส่งจะเป็นผู้เก็บไว้ โทรสารที่โจทก์ส่งศาลเป็นพยานซึ่งจำเลยยอมรับความถูกต้องแล้ว จึงรับฟังได้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93