งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ
ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ
สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ
รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ
เมื่อศาลมีคำพิพากษาประเด็นใดแล้ว คำพิพากษาผูกพันคู่ความในคดีนั้น และห้ามดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นดังกล่าวซ้ำอีก
1.คำพิพากษาฎีกาที่ 7830/2561
ก่อนคดีนี้ ในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1077/2556 โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ม. ผู้ตาย ฟ้อง ก. กับจำเลยว่า ก. นำที่ดิน ส.ป.ก. อันเป็นมรดกของผู้ตายไปขายให้แก่จำเลย และส่งมอบหลักฐาน ส.ป.ก. ให้จำเลยไว้แต่ ก. รับเงินเป็นของตน โดยทำสัญญากู้ยืมเงินไว้ว่า ผู้ตายกู้ยืมเงินจำเลยโดยมีที่ดินพิพาทตาม ส.ป.ก. ดังกล่าวเป็นประกันหากไม่ชำระหนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยทันที ต่อมาจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทขอให้ ก. คืนเงินแก่โจทก์ให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและส่งมอบ ส.ป.ก. คืนโจทก์ ก. และจำเลยให้การว่า ผู้ตายกู้ยืมเงินไปเพื่อรักษาตัว โดยนำที่ดินพิพาทไปค้ำประกัน เมื่อผู้ตายไม่คืนเงิน จำเลยจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์จำเลยมีสิทธิยึดเอกสาร ส.ป.ก. จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ คดีดังกล่าวจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ตายมีการกู้ยืมเงินจำเลยไปโดยมีการส่งมอบ ส.ป.ก. ไว้เป็นประกันการชำระหนี้หรือไม่ ในระหว่างการดำเนินกระบวนพิจารณา จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.1787/2556 คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันกับคดีหมายเลขแดงที่ พ.1077/2556 ว่าผู้ตายกับจำเลยมีการทำสัญญากู้ยืมเงินกันหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1077/2556 พิจารณาแล้วมีคำพิพากษา ก่อนที่คดีหมายเลขแดงที่ พ. 1787/2556 จะมีคำพิพากษาว่า ผู้ตายทำสัญญากู้ยืมเงินกับจำเลยโดยการส่งมอบ ส.ป.ก. ไว้เป็นประกันการชำระหนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ตายชำระหนี้เงินกู้คืนแก่จำเลย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยส่งมอบ ส.ป.ก. คืนให้แก่โจทก์ได้ ดังนี้คดีหมายเลขแดงที่ พ.1787/2556 จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวต่อไป เพราะจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ มาตรา 144 การที่ศาลในคดีหมายเลขแดงที่ พ.1787/2556 ยังคงดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นดังกล่าวต่อไปจนในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวว่า ผู้ตายกับจำเลยมิได้มีการทำสัญญากู้ยืมเงินต่อกัน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้าม ป.วิ.พ. มาตรา 144 เมื่อความปรากฏต่อมาว่าคดีหมายเลขแดงที่ พ.1077/2556 ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์โดยศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงถึงที่สุดว่า ผู้ตายทำสัญญากู้ยืมเงินจำเลยจริงเมื่อยังไม่มีการชำระหนี้เงินกู้คืนจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียก ส.ป.ก. คืนจำเลยได้ และผลของคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1077/2556 ดังกล่าวยังผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความอยู่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง กรณีต้องบังคับตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1077/2556 ดังกล่าว โจทก์จึงไม่อาจกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นรวมถึงข้อเท็จจริงที่ได้ จากการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำได้ (คำพิพากษายกฟ้อง)
2.คำพิพากษาฎีกาที่ 7799/2561
โจทก์ฟ้อง ส. กับ ศ. เป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 โดยบรรยายว่า ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ (ที่ดินมือเปล่า) ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวและเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวให้การว่าโจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทจาก ฉ. และ ภ. และเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน โดยจำเลยที่ 2 ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน โดยจำเลยที่ 2 ครอบครองทำประโยชน์เนื้อที่ 11 ไร่เศษ ต่อมาจำเลยที่ 2 ขายที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่ ช. (จำเลยในคดีนี้) และ ช.ครอบครองที่ดินมาโดยสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 1 ปี ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และยื่นฟ้อง ศ. กับพวกในข้อหาฐานความผิดละเมิด ห้ามรบกวนการครอบครองทรัพย์สินเรียกค่าเสียหาย ต่อมา ศ. ขายสิทธิการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดไม้ยูคาลิปตัสที่โจทก์ปลูกไว้ทั้ง 11 ไร่เศษ เป็นเงิน 200,000 บาท ขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินและชดใช้ค่าเสียหาย สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาทั้งสองสำนวน ต่างโต้แย้งเป็นประเด็นข้อพิพาท แม้คดีแรกโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยคดีนี้ร่วมกับ ศ. และพวกเป็นจำเลยก็ตาม แต่ตามคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ได้บรรยายยืนยันว่า ศ. ขายที่ดินส่วนที่ ศ. บุกรุกเข้าไปให้จำเลยในคดีนี้อันเป็นปริยายว่าจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทให้จำเลยเป็นสำคัญ กรณีตามคำฟ้องจึงต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้สืบสิทธิของ ศ. นั้นเอง ทั้งต้องถือว่าจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วย ต่อมาเมื่อคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ และพิพากษายกฟ้อง คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาซ้ำในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีก
คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 หมายเลขแดงที่ 794/2557 ดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด หากในชั้นที่สุด ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทผลของคำพิพากษาในคดีย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าว และจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิของ ศ. จำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวด้วย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่งทำให้คดีนี้ยังมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยต้องห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและต้องชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์เพียงใด ดังนั้น การรอฟังผลคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1996/2557 หมายเลขแดงที่ 794/2557 ของศาลชั้นต้นจนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดเสียก่อนแล้วพิพากษาคดีต่อไป ย่อมทำให้ความยุติธรรมคดีนี้ดำเนินไปได้ด้วยดี โดยยังคงวินิจฉัยในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและพิพากษาจึงไม่ชอบ
ที่มา : หนังสือรวมคำบรรยายภาค 2 สมัยที่ 72 ปี พ.ศ.2562 เล่ม 3
ตัวบทกฏหมายอ้างอิง
ประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 144 เมื่อศาลใดมีคำพิพากษา หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น เว้นแต่กรณีจะอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วย
(1) การแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ ตามมาตรา 143
(2) การพิจารณาใหม่แห่งคดีซึ่งได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปฝ่ายเดียว ตามมาตรา 209 และคดีที่เอกสารได้สูญหายหรือบุบสลายตามมาตรา 53
(3) การยื่น การยอมรับ หรือไม่ยอมรับ ซึ่งอุทธรณ์หรือฎีกาตามมาตรา 229 และ 247 และการดำเนินวิธีบังคับชั่วคราวในระหว่างการยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกาตามมาตรา 254 วรรคสุดท้าย
(4) การที่ศาลฎีกาหรือศาลอุทธรณ์ส่งคดีคืนไปยังศาลล่างที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้น เพื่อให้พิพากษาใหม่หรือพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามมาตรา 243
(5) การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา 271
ทั้งนี้ ไม่เป็นการตัดสิทธิในอันที่จะบังคับตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 16 และ 240 ว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยศาลอื่นแต่งตั้ง