คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคหนึ่ง สมัยที่ 72 ปีการศึกษา 2562 เล่มที่ 16|คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคหนึ่ง สมัยที่ 72 ปีการศึกษา 2562 เล่มที่ 16

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคหนึ่ง สมัยที่ 72 ปีการศึกษา 2562 เล่มที่ 16

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคหนึ่ง สมัยที่ 72 ปีการศึกษา 2562 เล่มที่ 16

  • Defalut Image

ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง  จึงขับรถชนผู้ข่มเหงตายและชนถูกคนซ้อนท้ายตาย

บทความวันที่ 8 ต.ค. 2562, 10:59

มีผู้อ่านทั้งหมด 3213 ครั้ง


คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคหนึ่ง สมัยที่ 72 ปีการศึกษา 2562 เล่มที่ 16

1. ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง  จึงขับรถชนผู้ข่มเหงตายและชนถูกคนซ้อนท้ายตาย จะอ้างบันดาลโทสะกับคนซ้อนไม่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8882/2561

    การกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.  มาตรา 72 เป็นกรณีที่ผู้กระทำถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ส่วนการกระทำโดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา 60 เป็นกรณีผู้กระทำเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลการกระทำเกิดแก่บุคคลหนึ่งโดยพลาดไป สำหรับการกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  ผู้กระทำต้องเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นแล้วว่าจะทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับผลนั้น ซึ่งเป็นผลที่เห็นได้ชัดว่า จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
    ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกขับรถจักรยานยนต์เที่ยวเล่นตั้งแต่เวลาประมาณ 21 นาฬิกา โดย พ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายที่ 1 ส่วน ข. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ท. ไม่ปรากฎว่า พ. กับ ข. ผู้ตายทั้งสองได้ร่วมทำร้ายหรือมีพฤติการณ์ใดที่แสดงให้เห็นว่า มีเจตนาที่ร่วมกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกทำร้ายจำเลย แม้ผู้ตายทั้งสองจะอยู่ในที่เกิดเหตุแต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการยุยงส่งเสริมสนับสนุนหรือให้กำลังใจเพื่อให้ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกเกิดความฮึกเหิมรุมทำร้ายจำเลยกับพวก หลังเกิดเหตุผู้ตายทั้งสองไปกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกก็คงเป็นเพราะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยกันพฤติการณ์ของผู้ตายทั้งสองฟังไม่ได้ว่า ผู้ตายทั้งสองข่มเหงหรือร่วมกับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยขับรถกระบะซึ่งมีขนาดใหญ่และมีแรงปะทะมากกว่ารถจักรยานยนต์หลายเท่าฝ่าเข้าไปหรือพุ่งชนกลุ่มรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 กับพวกโดยแรง แม้กระทำเพียงครั้งเดียว ก็เห็นได้ว่า จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าทั้งคนขับและคนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ถูกชนจะถึงแก่ความตายได้ จึงถือว่ามีเจตนากระทำต่อผู้ตายทั้งสองโดยตรงไม่ใช่กรณีที่จำเลยเจตนาที่จะกระทำต่อกลุ่มคนที่รุมทำร้ายจำเลยแต่ผลการกระทำเกิดแก่ผู้ตายโดยพลาดไป  เมื่อผู้ตายทั้งสองไม่ได้ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการกระทำความผิดต่อผู้ตายทั้งสองจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้

2. แม้จะตะโกนเรียกเด็กให้มาหาเอง ก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์
คำพิพากษาฎีกาที่ 8767/2561

    คำว่า "พา" หมายความว่า นำไปหรือพาไป ส่วนคำว่า "พราก" หมายความว่า การพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแลทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือกระทบกระเทือน โดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอมอันเป็นการมุ่งหมายเพื่อยึดครองอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีต่อเด็ก มิให้ผู้ใดละเมิดด้วยการพาไปหรือแยกเด็กออกจากความปกครองดูแล โดยไม่จัดว่าจะกระทำด้วยวิธีการใดและไม่คำนึงถึงระยะทางใกล้ไกล ดังนั้น การที่จำเลยใช้กลวิธีด้วยการตะโกนเรียกผู้เสียหายที่ 2 ให้เข้าไปหาจำเลยและแม้ที่เกิดเหตุจะอยู่ห่างจากบริเวณที่ผู้เสียหายที่ 2 เล่นอยู่กับเพื่อนเพียง 7 เมตร กับแม้จะอยู่ในบริเวณอู่ซ่อมรถด้วยกันก็ตาม ถือได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปและพรากผู้เสียหายที่ 2 ไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานพาเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเพื่อการอนาจารและฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร

3.ลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ตรงกำหนดนัด แต่เจ้าหนี้ก็ยอมรับชำระ ถือว่าไม่เอาเรื่องระยะเวาลาที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นสำคัญ 
คำพิพากษาฎีกาที่ 1279/2562

    ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. (ฉบับที่ 20 ) พ.ศ. 2557 บัญญัติว่าเมื่อลูกหนี้ผิดนัดให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกผู้ค้ำประกันชำระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ำประกันที่จะชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ 
    สัญญากู้ยืมเงินเพื่อการบริโภค ข้อ 3 ระบุว่าตกลงผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า 8,500 บาท ยกเว้นเดือนสุดท้าย มีกำหนดชำระ 180 งวด เริ่มผ่อนชำระตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2553 เป็นต้นไป และชำระให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ส่วนสัญญาข้อ 4 ถ้าผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้เงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยงวดหนึ่งงวดใด ผู้กู้ยอมถือว่าผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด ยินยอมให้ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราไม่เกินดอกเบี้ยสูงสุด ที่ผู้ให้กู้พึงเรียกได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในขณะทำสัญญากู้มีอัตราเท่ากับร้อยละ 19 ต่อปี ของยอดเงินกู้คงเหลือ ณ วันที่ผิดนัด แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลบัญชีสินเชื่อปรากฎว่านับแต่วันทำสัญญาจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เรื่อยมา จนกระทั่งในงวดเดือนกันยายน 2555 และงวดเดือนตุลาคม 2555 จำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ อันเป็นการผิดสัญญาข้อ 4 ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2555 และชำระเรื่อยมา แม้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไม่ตรงกำหนดเวลาตามสัญญาบ้างหรือไม่ครบบ้าง แต่โจทก์ก็ยอมรับชำระหนี้ไว้โดยไม่ทักท้วงย่อมแสดงว่าโจทก์ไม่ถือระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นสาระสำคัญ หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวไปยังผู้กู้ให้ชำระหนี้ที่ค้างชำระโดยกำหนดเวลาพอสมควรก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 204 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถามโดยจำเลยที่ 1 ได้รับเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2559 จึงครบกำหนดชำระหนี้ในวันที่ 20 เมษายน 2559 แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย จำเลยที่ 1 จึงผิดนัดชำระหนี้เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559 และภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด โจทก์ไม่มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 6 ถึงที่ 8 ทายาทของนายสัญชัย ผู้ค้ำประกันชำระหนี้จึงเป็นการไม่ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นผลให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์

4.การตกลงจะเลิกบริษัท  ต้องชำระบัญชีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ 
คำพิพากษาฎีกาที่ 6712/2561

    การเลิกบริษัทจำกัด ต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1236 หรือมาตรา 1237 ซึ่งเป็นกรณีที่มีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้บริษัทจำกัดเลิกกันตามมาตรา 1236 (1) ถึง (5) หรือมีเหตุที่ศาลอาจสั่งให้เลิกบริษัทจำกัดตามมาตรา 1237 (1) ถึง (4) ที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 ได้อาศัยข้ออ้างว่า ในคดีอาญาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าวว่าจะดำเนินการเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 และชำระบัญชี ซึ่งข้ออ้างดังกล่าวหาได้เป็นเหตุที่จะเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติมาตรา 1236 หรือมาตรา 1237 ไม่การตกลงกันเช่นว่านั้นเป็นเพียงความประสงค์ของโจทก์ และจำเลยที่ 2 ที่ไม่ต้องการทำกิจการร่วมกันต่อไป แต่การตกลงกันจะเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 ได้จะต้องดำเนินการตามมาตรา 1236 (4) โดยอาศัยมติพิเศษของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ซึ่งต้องมีการนัดเรียกประชุมและลงมติตามกฎหมาย มิใช่อ้างแต่เพียงข้อตกลงที่จะเลิกจ้างบริษัทโดยไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติ ส่วนในปัญหาที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 มีความขัดแย้งกันจนดำเนินคดีอาญาและเป็นปฏิปักษ์กันนั้น แม้ทำให้เกิดข้อขัดข้องในการจัดการงานของจำเลยที่ 1 ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทำการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการโดยให้จำเลยที่ 2 จัดการเพียงผู้เดียวเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1  โจทก์ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของจำเลยที่ 1 อีกต่อไป อีกทั้งความขัดแย้งในการบริหารงานของบริษัทก็หาใช่เหตุที่จะขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทตามมาตรา 1237 ได้ไม่
 

ที่มา :  หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคหนึ่ง สมัยที่ 72 ปีการศึกษา 2562 เล่มที่ 16

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก