คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 71 ปีการศึกษา 2561 เล่มที่ 12|คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 71 ปีการศึกษา 2561 เล่มที่ 12

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 71 ปีการศึกษา 2561 เล่มที่ 12

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 71 ปีการศึกษา 2561 เล่มที่ 12

  • Defalut Image

ความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ประชาชนไม่ใช่ผู้เสียหาย

บทความวันที่ 2 ต.ค. 2562, 13:34

มีผู้อ่านทั้งหมด 3971 ครั้ง


คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 71 ปีการศึกษา 2561 เล่มที่ 12

1.ความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ประชาชนไม่ใช่ผู้เสียหาย และเมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนอันเป็นบทที่มีโทษหนักสุด จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในความผิดบทเบา
คำพิพากษาฎีกาที่ 2306/2560

    บทบัญญัติตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนมาตรา 4หรือมาตรา 5 เป็นบทบัญญัติที่วางมาตรการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม ความผิดฐานนี้จึงเป็นความผิดต่อรัฐ รัฐเท่านั้นที่จะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดได้ เอกชนไม่ใช่ผู้เสียหายในการกระทำความผิดข้อหาดังกล่าว โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดข้อหานี้ และเมื่อโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์มาตั้งแต่แรก โจทก์ร่วมย่อมไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกา จึงไม่จำต้องพิจารณาฎีกาของโจทก์ร่วมในปัญหาว่าจำเลย กระทำความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องอีก
    โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงเท่านั้น มิได้เป็นผู้เสียหายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม พ.ร.ก. การกู้ยืมที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนพ.ศ. 2527 ด้วย ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ร่วมจึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์เฉพาะในความผิดที่โจทก์เป็นผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา 341 ที่โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายมี อัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท (เดิม) หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ แม้ความผิด ฐานฉ้อโกงประชาชนตาม พ.ร.ก. การกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนพ.ศ. 2527 มาตรา 5,12 จะมีอัตราโทษไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและเป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ร่วมมิได้เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด โจทก์ร่วมจึงไม่อาจอุทธรณ์โดยอ้างทำนองว่าเมื่อโทษตามบทหนักไม่ต้องห้ามให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว การอุทธรณ์ในบทเบาย่อมอุทธรณ์ได้ด้วยหาได้ไม่

2.บรรยายฟ้อง ระบุวันเวลากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ปรากฏชัด และโจทก์ไม่นำสืบเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุให้ศาลเห็นว่าจำเลยลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จึงต้องยกประโยชน์ให้จำเลย โดยฟังว่าจำเลยลักทรัพย์ในเวลากลางวัน
คำพิพากษาฎีกาที่ 5191/2561

    โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 13 มกราคม 2557 เวลากลางคืนหลังเที่ยงต่อเนื่องกัน วันใดไม่ปรากฏชัด จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายลักทรัพย์ผู้เสียหายไป แม้คำบรรยายฟ้องของโจทก์พอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่า วันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดเป็นช่วงวันเวลาใดและจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุให้ศาลเห็นว่า จำเลยลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ซึ่งความจริงเหตุอาจจะเกิดในเวลากลางวันก็ได้ จึงต้องยกประโยชน์ให้แก่จำเลยโดยฟังว่าจำเลยลักทรัพย์ในเวลากลางวัน ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

3.คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์และผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แม้ผู้เสียหายไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ 
คำพิพากษาฎีกาที่ 8878/2560

    ความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปจากผู้เสียหายที่ 2 ในฐานะบิดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโจทก์ร่วมความปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ที่มีต่อโจทก์ร่วมย่อมถูกกระทบกระเทือนทำนองเดียวกับเสรีภาพของผู้เสียหายที่ 2 ที่ได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายที่ 2 ในความผิดฐานนี้ได้ แม้ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องคดีอาญาซึ่งในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา  ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับจากการกระทำความผิดของจำเลยได้ กรณีไม่อาจนำกฎหมายวิธีสบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ฎีกามาตัดสิทธิของผู้เสียหายที่ 2 ทั้งปัญหาตามมาตรา 44/1 เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความเรียบร้อยตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาฎีกาที่ 9173/2560
    คำร้องของผู้ร้องที่ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมแก่ตน ตามป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญาเมื่อคดีอาญายังไม่ถึงที่สุดเพราะโจทก์ยังคงอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น  การกำหนดค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งซึ่งศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาในส่วนอาญา ตามป.วิ.อ. มาตรา 46 จึงต้องรอฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาให้เป็นที่ยุติก่อน แม้ผู้ร้องจะไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ย่อมมีอำนาจหยิบยกคดีส่วนแพ่งตามคำร้องขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ ตามป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215  

4. หากเป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ ทำให้การสอบสวนไม่ชอบ ความผิดอาญาแผ่นดิน แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวนได้
คดีความผิดส่วนตัว
คำพิพากษาฎีกาที่ 9776/2560

    แม้ผู้เสียหายหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยทั้งสามที่ขอกู้ยืมเงินโดยอ้างว่าได้กระทำในฐานะที่เป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายมอบเงินกู้ให้จำเลยทั้งสามไปตามฟ้องก็ดี  แต่การให้กู้ยืมเงินผู้เสียหายทำสัญญาโดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ของเงินต้น ในระยะเวลา 5 วัน คิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 292 ต่อปี ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3(ก) ประกอบป.พ.พ. มาตรา 654 ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าผู้เสียหายรับข้อเสนอของจำเลยทั้งสามโดยมีเจตนามุ่งต่อผลประโยชน์อันเกิดจากการกระทำที่ผิดกฎหมายของตนถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต จะถือว่าเป็นผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ เป็นเหตุให้การสอบสวนไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 120 

คำพิพากษาฎีกาที่ 1278/2557
    โจทก์ร่วมไม่ใช่เป็นเจ้าของตอต้นอ้อยที่ได้รับความเสียหายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวพนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 วรรคสอง และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 120

คดีความผิดอาญาแผ่นดิน
คำพิพากษาฎีกาที่ 2183/2558

    ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ป.อ. มาตรา 157 เป็นความผิดอาญาแผ่นดินถือเป็นความผิดที่กระทำต่อรัฐ มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว บุคคลผู้พบเหตุความผิดดังกล่าวมีอำนาจที่จะกล่าวโทษผู้กระทำความผิดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดได้ และพนักงานสอบสอนก็มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดได้โดยมิพักต้องคำนึงว่าผู้กล่าวโทษเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้เสียหายหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 

คำพิพากษาฎีกาที่ 13646/2558
    ความผิดฐานปลอมเอกสาร เป็นความผิดอาญาแผ่นดินไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวอันยอมความได้ แม้ผู้เสียหายที่ถูกปลอมลายมือชื่อจะไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวนได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย ดังนี้ ผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์หรือไม่ ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

5. ต่างฝ่ายต่างฟ้องซึ่งกันและกัน ประเด็นพิพาททั้งสองคดีอย่างเดียวกัน จำเลยในคดีหลัง (ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน) ยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งจึงเป็นฟ้องซ้อนในคดีก่อน
คำพิพากษาฎีกาที่ 2806/2561

    จำเลยที่ 1 เคยยื่นฟ้องโจทก์และ ส. ต่อศาลชั้นต้นขอให้ขับไล่โจทก์และ ส . ออกจากบ้านพักคนงานและที่ดินสวนปาล์มน้ำมันเนื้อที่ 1,821 ไร่ พร้อมกับชำระค่าเสียหาย โจทก์และ ส. ให้การว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวเนื่องจากจำเลยที่ 1 เชิด ล. (จำเลยที่ 2 คดีนี้) เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1  ในการที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจและสัญญาให้ใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์ เนื้อที่ 1,821 ไร่ แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ห้ามโจทก์และ ส. กับบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านพักคนงาน และออกไปจากที่ดินสวนปาล์มน้ำมัน เนื้อที่ 1,821 ไร่ และให้โจทก์กับ ส. ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาพิพากษายืนระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินสวนปาล์มน้ำมันเนื้อที่ 1,821 ไร่ เนื่องจากจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจและสัญญาให้ใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์เนื้อที่ 1,821 ไร่ แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบอำนาจให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินสวนปาล์มน้ำมันดังกล่าว และไม่ได้เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการทำหนังสือมอบอำนาจและสัญญาให้ใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์ เห็นได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสองคดีเป็นที่ดินแปลงเดียวกันคดีทั้งสองมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการทำหนังสือมอบอำนาจและสัญญาให้ใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์ให้แก่โจทก์หรือไม่คดีทั้งสองจึงเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งของศาลชั้นต้นไว้แล้ว การที่จำเลยที่ 1 นำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องแย้งโจทก์เป็นคดีนี้อีกโดยจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นโจทก์ในส่วนของฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งจึงเป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องในคดีก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม)

6. ตัวการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากตัวแทน การนำพยานบุคคลเข้ามาสืบว่าเป็นตัวแทน ไม่เป็นการนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงเอกสาร
ฟ้องเรียกเอาอสังหาริมทรัพย์คืน ถ้าศาลพิพากษาให้ชนะคดี และศาลจะพิพากษาให้ขับไล่จำเลยได้ไม่เกินคำขอ
คำพิพากษาฎีกาที่ 5042/2561

    จำเลยเป็นตัวแทนเชิดของโจทก์ กรณีตัวแทนเชิดไม่อยู่ในบังคับมาตรา 798 แห่ง ป.พ.พ. การตั้งตัวแทนเพื่อทำกิจการอันใด จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใดกรณีนี้โจทก์เป็นตัวการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยซึ่งเป็นตัวแทน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้ และการที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลในความจริงว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์นั้นมิใช่การนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
    โจทก์ฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีย่อมมีอำนาจพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (1) จึงไม่เป็นการที่ศาลพิพากษาเกินคำขอ
ที่มา : หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 71 ปีการศึกษา 2561 เล่มที่ 12

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก