คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 70 ปีการศึกษา 2560 เล่มที่ 6
1.โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทในฐานะที่เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้จะได้ความว่าโจทก์จะได้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลชั้นต้นให้ออกคำบังคับและศาลได้ออกคำบังคับแล้ว ให้จำเลยในคดีดังกล่าวพร้อมจำเลยในคดีนี้ในฐานะบริวารของจำเลยในคดีดังกล่าว ออกไปจากที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 334 คดีดังกล่าวมิใช่เรื่องโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย ไม่มีลักษณะเป็นการเสนอข้อหาต่อศาลอันจะเป็นคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนและไม่เป็นดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คำพิพากษาฎีกาที่ 4906/2559
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ซึ่งเป็นการใช้สิทธิในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์สินตามที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีแพ่งของศาลชั้นต้น แม้โจทก์ในฐานะผู้ซื้อที่ได้รับที่ดินพิพาทจากเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลชั้นต้นให้ออกคำบังคับให้จำเลยในคดีดังกล่าวพร้อมจำเลยคดีนี้ในฐานะบริวารของจำเลยในคดีดังกล่าวออกไปจากที่ดินพิพาทที่โจทก์ซื้อได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ตรี และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ออกคำบังคับแล้วก็ตาม แต่คดีดังกล่าวมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลย หากแต่เป็นการใช้สิทธิยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลชั้นต้นให้ออกคำสั่งบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบริวารออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ที่โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาด ไม่มีลักษณะเป็นการเสนอข้อหาต่อศาลอันจะเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1(3) คำฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนอันจักต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คดีที่โจทก์ยื่นคำขอฝ่ายเดียวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 ตรี ขอให้ศาลชั้นออกคำบังคับให้จำเลยในคดีดังกล่าวและจำเลยในคดีนี้ในฐานะบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท และศาลชั้นต้นออกคำบังคับแก่จำเลยในฐานะบริวารด้วยนั้น เมื่อคดีดังกล่าวจำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำบังคับและอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลชั้นต้น จึงยังมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีที่โจทก์ขอให้ออกคำบังคับแก่จำเลยในฐานะบริวาร แม้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยมีคำขอให้บังคับให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยย่อมเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ดังนี้ จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วอันจักต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 ทั้งมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ส่วนคำขอของโจทก์ที่เรียกค่าเสียหายจากจำเลย เมื่อโจทก์ไม่อาจเรียกร้องในคดีดังกล่าว โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องเรียกร้องเอาแก่จำเลยในคดีนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
2.ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมแต่เนื้อหาของคำร้องสอดเป็นปฏิปักษ์กับโจทก์ถือเป็นการยื่นคำร้องสอดตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 (1) ไม่ใช่ (2) เมื่อผู้ร้องสอดได้ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีนี้ไว้อีกคดีหนึ่งก่อนแล้ว คำร้องสอดในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
คำพิพากษาฎีกาที่ 5546/2558
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวและชำระค่าเสียหายจนกว่าจำเลยท้ังสามจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฏหมายในผลแห่งคดีจึงขออนุญาตเข้าเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2)
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสอดได้ทำนิติกรรมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 1335 ตำบลถนนพญาไท (ประแจจีน)อำเภอพญาไท(ดุสิต)กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 1/34 ตามฟ้องแก่น้องพิมพ์พร ซึ่งเป็นมารดาโดยเจตนาลวงร่วมกันเพื่อป้องกันมิให้สามีชาวต่างชาติของผู้ร้องสอดมีสิทธิในทรัพย์สินดังกล่าว สัญญาให้ที่ดินและตึกแถวระหว่างผู้ร้องสอดกับนางพิมพ์พรจึงตกเป็นโมฆะ ก่อนนางพิมพ์พรตาย โจทก์กับพวกร่วมทำพินัยกรรมของนางพิมพ์พรปลอมขึ้น หลังนางพิมพ์พรตายตายผู้จัดการมรดกของนางพิมพ์พรได้โอนที่ดินและตึกแถวดังกล่าวของผู้ร้องสอดได้ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งว่า พินัยกรรมเป็นโมฆะ ถอดถอนผู้จัดการมรดกและเรียกทรัพย์คืน จึงขอร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) แต่เนื้อหาตามคำร้องสอดของผู้ร้องดังกล่าว เป็นการตั้งสิทธิเข้ามาในฐานะเป็นปฏิปักษ์กับโจทก์เพื่อขอให้ศาลรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดจึงเป็นคำร้องสอดตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) เมื่อสิทธิที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าถูกโจทก์โต้แย้งนี้ ผู้ร้องสอดได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลไว้ก่อนแล้ว คดีอยู่ระหว่างพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องสอดจึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1)
3.คดีก่อนที่โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและหรือทางภาระจำยอม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นภาระจำยอมโดยไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่ แม้จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ว่าทางพิพาทเป็นภาระจำยอมหรือไม่ โดยไม่ได้รับวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ จึงไม่ถือว่าศาลในคดีก่อนศาลได้วินิจฉัยประเด็นที่ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางจำเป็นในคดีนี้อีก จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาฎีกาที่ 1695/2559
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม โดยมิได้วินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ทางพิพาทอาจเป็นได้ทั้งทางจำเป็นและทางภาระจำยอมในขณะเดียวกัน แต่โจทก์ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องอุทธรณ์อีกต่อไปอีก เพราะคำพิพากษาเป็นผลดีแก่โจทก์อยู่แล้ว แม้ว่าเมื่อจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า ทางพิพาทไม่เป็นทางภาระจำยอมและไม่เป็นทางจำเป็น แต่เมื่อโจทก์ฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยเฉพาะประเด็นว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่เท่านั้น โดยไม่รับวินิจฉัยประเด็นว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ เนื่องจากเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ส่วนที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ ปัญหาเรื่องทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ย่อมยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็เป็นการกล่าวถึงเหตุผลตามกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่มีอำนาจยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยเท่านั้น กรณีถือไม่ได้ว่า คดีก่อนศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยประเด็นที่ว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่แล้ว และไม่มีคำพิพากษาในประเด็นดังกล่าวที่จะผูกพันโจทก์ตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้เปิดทางจำเป็นคดีนี้ จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
4.จำเลยซึ่งศาลมีคำพิพากษาให้แพ้คดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้เฉพาะพยานหลักฐานตามที่โจทก์นำสืบมา ว่าศาลไม่ควรเชื่อถือหรือรับฟังไม่ได้เท่านั้น ไม่อาจไปกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ได้นำสืบหรือไม่อยู่ในสำนวนขึ้นมาอ้างเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8448/2558
ในคดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและเพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้องอ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 198 ทวิ วรรคสองนั้น จำเลยย่อมอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้เฉพาะในพยานหลักฐานตามที่โจทก์นำสืบมา ว่าศาลไม่ควรเชื่อหรือรับฟังไม่ได้เท่านั้น จำเลยไม่อาจที่จะไปกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้นำสืบหรือที่ไม่มีอยู่ในสำนวนขึ้นมาอ้างอิงเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์โดยเชื่อตามที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลและพยานเอกสาร แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์อ้างว่า พยานบุคคลและพยานเอกสารที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักในการรับฟังด้วยเหตุผลตามที่พยานเบิกความและข้อความในเอกสารมีพิรุธไม่น่าเชื่อถือในข้อไหนอย่างไรกลับอ้างข้อเท็จจริงที่ไม่มีอยู่ในสำนวนขึ้นมาโต้เถียงว่า เจ้าหน้าที่ของโจทก์นำแบบพิมพ์เปล่ามาให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้จนกระทั่งถูกฟ้องจำเลยจึงทราบว่าแบบพิมพ์เปล่าที่จำเลยเคยลงลายมือชื่อไว้เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งโจทก์เติมข้อความโดยจำเลยไม่รู้เห็นและยินยอม หนังสือรับสภาพหนี้ปลอมใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลไม่ได้ จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ที่มา : หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 70 ปีการศึกษา 2560 เล่มที่ 6