เลิกสัญญาโดยปริยายและค่าปรับสูงเกินส่วน ศาลลดลงได้|เลิกสัญญาโดยปริยายและค่าปรับสูงเกินส่วน ศาลลดลงได้

เลิกสัญญาโดยปริยายและค่าปรับสูงเกินส่วน ศาลลดลงได้

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

เลิกสัญญาโดยปริยายและค่าปรับสูงเกินส่วน ศาลลดลงได้

  • Defalut Image

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5055/2567

บทความวันที่ 13 ธ.ค. 2568, 14:00

มีผู้อ่านทั้งหมด 146 ครั้ง


เลิกสัญญาโดยปริยายและค่าปรับสูงเกินส่วน ศาลลดลงได้

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5055/2567
           โจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนในขณะที่สัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกัน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 โต้แย้งคัดค้านที่โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ พฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 14 จะระบุว่า "...หรือสัญญา สิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยกรณีอื่นใดก็ตาม และเจ้าของได้กลับเข้าครอบครองรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..." แต่เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย อันเป็นผลให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาต่อกันอีก โจทก์จึงไม่อาจอาศัยข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อเรียกร้องค่าขาดราคาจากจำเลยที่ 1 ได้
             เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย แต่กรณีเช่นว่านี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงผลของการเลิกสัญญาที่จะยกมาปรับคดีได้ จึงต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเทียบเคียง ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติถึงการเลิกสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญา อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 ดังนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ซึ่งเฉพาะการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์นั้น เนื่องจากรถยนต์เป็นทรัพย์ที่เสื่อมสภาพและเสื่อมราคาไปตามกาลเวลาและการใช้งาน การกลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อของโจทก์ในกรณีเช่นนี้เห็นได้อยู่ในตัวว่าไม่อาจทำให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้เหมือนดังเช่นขณะทำสัญญา ดังนั้น เพื่อให้โจทก็ได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ใกล้เคียงกับขณะทำสัญญาเท่าที่พอจะเป็นไปได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2567
           การที่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรก ต่อมาจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อพิพาทโต้แย้งในส่วนที่เกี่ยวกับรถยนต์ที่เช่าซื้อกัน พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ได้ และที่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ภายหลังจากที่ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ บ่งชี้ถึงเจตนาที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ต้องการที่จะเลิกสัญญาเช่าซื้อ เช่นนี้ แม้จำเลยที่ 1 ได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ และสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อตกลงให้สิทธิจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 ก็ยังบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 ที่บัญญัติว่า ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง อันเป็นบทบัญญัติกำหนดสิทธิและวิธีบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยผู้เช่าซื้อไว้เป็นการเฉพาะนอกจากการเลิกสัญญาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. บรรพ 2 ลักษณะ 2 สัญญา หมวด 4 ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์โดยมีเจตนาจะเลิกสัญญา และโจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันเลิกกันด้วยเหตุที่จำเลยที่ 1 ซึ่งผิดนัดเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 พฤติการณ์แห่งคดีหาใช่เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยที่ 1 สมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2016/2567
          ตามหนังสือรับสภาพหนี้ฯ ระบุว่า หากผู้เช่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อใดข้อหนึ่งแห่งสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ ให้ถือว่าผู้เช่าและผู้ค้ำประกันทุกรายยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา ตามหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาเช่าฉบับนี้ และผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ค่าเช่าให้แก่โจทก์รวม 62 เดือน  เริ่มตั้งแต่งวดที่ 64 ถึงงวดที่ 125 จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าเพียงงวดที่ 85 เพียงบางส่วนจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและผิดสัญญาเช่าประกอบหนังสือรับสภาพหนี้ฯ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามสัญญาได้ โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าไปยังจำเลยทั้งสี่โดยชอบแล้ว  สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสี่ย่อมสิ้นสุดลง มีผลเป็นการเพิกถอนนิติสัมพันธ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากสัญญาย้อนไปถึงวันที่ทำสัญญาเช่า คู่สัญญาเช่าแต่ละฝ่ายต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง ผลการเลิกสัญญาก็อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง หาได้มีผลเพียงระงับนิติสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้นไม่  โจทก์จะอาศัยสัญญาเช่าและหนังสือรับสถาพหนี้ฯ มาฟ้องเรียกค่าค้างชำระตามข้อสัญญาอีกไม่ได้คงเรียกได้เพียงค่าเสียหายซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ครอบครองทรัพย์ที่เช่าตามมาตรา 391 วรรคสาม
           ตามสัญญาเช่าและเอกสารแนบท้ายประกอบหนังสือรับสภาพหนี้ฯ มีข้อตกลงให้โจทก์ผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนรวมของมูลค่าลดลงที่กำหนดไว้เรียกเบี้ยปรับของจำนวนเงินที่ค้างชำระและเรียกค่าขาดประโยชน์จากค่าเช่าได้ในกรณีจำเลยที่ 1 ผู้เช่าผิดนัดไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาเช่ารวมทั้งหนังสือรับสภาพหนี้ฯ ถือได้ว่าเป็นข้อสัญญาที่กำหนดความรับผิดในค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากการที่จำเลยที่ 1  ผู้เช่าไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรเป็นค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379
          โจทก์และจำเลยทั้งสี่มีข้อตกลงตามตารางท้ายสัญญาเช่าและหนังสือรับสภาพหนี้ฯ ว่าหากผู้เช่าผิดสัญญาและผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแล้ว  ผู้เช่าและผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชำระหนี้เงินแก่ผู้ให้เช่าตามที่กำหนดพร้อมเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี แก่ผูู้ให้เช่า เป็นข้อตกลงที่จำเลยทั้งสี่ทำสัญญาแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับ เมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 และถ้าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตามมาตรา 383 วรรคหนึ่ง

ปรึกษาข้อกฎหมายสอบถาม 02-948-5700 หรือ 081-616-1425 หรือ 081-625-2161, 081-821-7470

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก