ดอกเบี้ยกับค่าทวงหนี้เป็นคนละส่วนกัน
เมื่อท่านเป็นหนี้สถาบันการเงิน ท่านต้องเสียดอกเบี้ย เช่น ค่าบริการ และค่าเบี้ยปรับ หากผิดนัด ผิดสัญญา และท่านยังต้องชำระค่าทวงหนี้นอกจากดอกเบี้ยที่ค้างชำระ เพราะประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้เรียกได้
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาล่าสุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2565
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายสุรชัย ศิริปรีชาวิทย์ เป็นผู้ดำเนินคดีแทนนายสุรชัยมอบอำนาจช่วงให้บริษัทกฎหมายสุทธิวรวิทย์ จำกัด และบริษัทดังกล่าวมอบอำนาจให้นายศุภฤกษ์ รพีพัฒนเรศร์ เป็นผู้ดำเนินคดีแทน/เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2559 จำเลยยื่นคำขอให้สินเชื่อบุคคลเพอร์ซันนัลแคชจากโจทก์ 120,000 บาท ต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2559 โจทก์อนุมัติสินเชื่อให้จำเลย 90,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 28 ต่อปี ผ่อนชำระคืนเป็นรายเดือนรวม 60 งวด งวดละไม่น้อยกว่า 2,810 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 สิงหาคม 2559 งวดถัดไปชำระทุกวันที่ 5 ของเดือน นับแต่จำเลยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์ จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์บางส่วนเป็นต้นเงิน 7,541.64 บาท โดยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 28 กันยายน 2560 คงเหลือต้นเงินค้างชำระ 82,458.36 บาท จึงต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ผิดนัดถึงวันฟ้อง เป็นดอกเบี้ย 32,225.26 บาท และค่าติดตามทวงถาม 400 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 115,083.62 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 115,083.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 28 ต่อปี ของต้นเงิน 82,458.36 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2559 จำเลยยื่นคำขอให้สินเชื่อบุคคลเพอร์ซันนัลแคช เพื่อกู้เงินจากโจทก์ 120,000 บาท และวันที่ 30 มิถุนายน 2559 โจทก์อนุมัติสินเชื่อให้จำเลย 90,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 28 ต่อปี ตกลงผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์เป็นงวดรายเดือน งวดละไม่น้อยกว่า 2,810 บาท กำหนดชำระทุกวันที่ 5 ของเดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 สิงหาคม 2559 และจะชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 งวด ตามคำขอสินเชื่อเพอร์ซันนัลแคชและสัญญาให้สินเชื่อเพอร์ซันนัลแคช สำเนาหนังสืออนุมัติ และแบบเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 ข พร้อมใบเสร็จ เอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.7 ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 โจทก์นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) สาขาแหลมฉบัง บัญชีเลขที่ 906-2-03562-2 โดยหักชำระค่าอากรแสตมป์ 45 บาท จากเงิน 90,000 บาท ที่โจทก์อนุมัติ คงเข้าบัญชี 89,955 บาท ตามสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากของจำเลยและสำเนาหลักฐานการโอนเงินเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วผิดนัด โดยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 28 กันยายน 2560 จำนวน 5,720 บาท ตามสำเนารายการคำนวณดอกเบี้ยและแสดงยอดหนี้เอกสารหมาย จ.12
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายกำหนดไว้ โดยคิดค่าทวงถามหนี้ด้วยรวม 9 ครั้ง ครั้งละ 100 บาท 200 บาท และ 400 บาท รวม 1,800 บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าบริการต่าง ๆ และเบี้ยปรับตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนดตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศโจทก์เอกสารหมาย จ.13 ถึง จ.15 ซึ่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ สนส. 83/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์การปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ย ค่าบริการต่างๆ และเบี้ยปรับที่สถาบันการเงินอาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับเอกสารหมาย จ.14 ข้อ 5.2.1. (1) กำหนดให้โจทก์มีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ยในหนี้ค้างชำระ หรือดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดชำระหนี้ ค่าบริการต่างๆ หรือเบี้ยปรับในการชำระหนี้ล่าช้าเกินกำหนดจากจำเลยซึ่งเป็นผู้บริโภค เมื่อคำนวณรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี และข้อ 5.2.1.(2) กำหนดให้โจทก์มีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามที่ได้จ่ายไปจริงและพอสมควรแก่เหตุอีกส่วนหนึ่งแยกต่างหากจากกัน ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิคิดค่าติดตามทวงถามจากจำเลยได้ ส่วนค่าติดตามทวงถามที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า โจทก์คิดจากจำเลย 400 บาทนั้น แต่ตามสำเนารายการคำนวณดอกเบี้ยและแสดงยอดหนี้ เอกสารหมาย จ.12 ปรากฏว่าโจทก์คิดจากจำเลยเพียง 2 ครั้งในวันที่ 11 มกราคม 2560 และวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 ครั้งละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 200 บาท มิใช่ 400 บาท ตามที่บรรยายฟ้องและนำสืบทั้งจำเลยมิได้ให้การโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดค่าติดตามทวงถามแต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิคิดค่าติดตามทวงถามดังกล่าวจากจำเลย ซึ่งค่าติดตามทวงถามนี้เป็นคนละส่วนกับดอกเบี้ยในหนี้ค้างชำระหรือดอกเบี้ยในระหว่างค้างชำระหรือดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดชำระหนี้ หรือค่าบริการต่างๆ หรือเบี้ยปรับในการชำระหนี้ล่าช้ากว่ากำหนดตามข้อ 5.2.1(1) จึงไม่อาจนำค่าติดตามทวงถามมารวมกับการคิดดอกเบี้ยของโจทก์ได้ เมื่อโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 28 ต่อปี การคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
สรุป การเป็นหนี้เจ้าหนี้สถาบันการเงินเจ้าหนี้มีสิทธิคิดค่าบริการอื่นนอกเหนือจากดอกเบี้ย เช่น ค่าทวงหนี้ แตกต่างจากเจ้าหนี้ทั่วไปที่คิดได้แต่ดอกเบี้ยเท่านั้น