ความสำคัญของประเด็นข้อพิพาทที่ทนายความควรรู้
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 ซึ่งนำไปใช้ในคดีอาญาด้วย เป็นหลักพื้นฐานที่ว่าในการพิจารณาและพิพากษาคดีของศาล ศาลต้องพิจารณาและพิพากษาคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีนั้น ศาลจะพิจารณาพิพากษานอกประเด็น เกินประเด็น ขาดประเด็น หรือผิดเพี้ยนไปจากประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความพิพาทกันไม่ได้ สรุปได้ว่า การวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาลไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยไปตามประเด็นข้อพิพาทเท่านั้น เว้นแต่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทก็ให้ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เป็นอำนาจของศาลแต่ไม่ใช่หน้าที่ แต่ ป.วิ.พ. มาตรา 142 ไปใช้คำว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อที่ไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นตามคำฟ้องอาจไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทก็ได้ ถ้าจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธหรือให้การปฏิเสธไม่ชัดเจนตามหลักเกณฑ์ใน ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง ถือว่าจำเลยยอมรับตามข้อที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องแล้ว ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติเด็ดขาดตามคำรับของคู่ความหรือที่ถือว่าจำเลยยอมรับแล้ว จึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทในศาลต้องวินิจฉัยต่อไป นอกจากนี้ ประเด็นข้อพิพาทอาจเกิดจากคำให้การของจำเลยฝ่ายเดียวก็ได้ เพราะจำเลยในคดีแพ่งนอกจากจะมีหน้าที่ต้องให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องไว้ใน คำให้การให้ชัดแจ้งทุกข้อแล้ว จำเลยยังมีสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ใหม่ขึ้นกล่าวอ้างไว้ให้ชัดแจ้งในคำให้การได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี โดยไม่ต้องให้โจทก์ปฏิเสธโต้แย้งแต่ประการใด ศาลฎีกาไทยเรียกประเด็นข้อพิพาทประเภทนี้ว่าประเด็นข้อพิพาทตามคำให้การไม่ใช่ประเด็นตามคำให้การ
ที่มา : หนังสือรวมคำบรรยายเนติบัณฑิต สมัยที่ 65