ปัจจุบันบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลถูกดำเนินคดีอาญาเป็นจำนวนมาก เช่น การสำแดงเท็จในการนำเข้ารถเมล์จากต่างประเทศต่อกรมศุลกากร
บทความวันที่ 22 ธ.ค. 2559, 00:00
มีผู้อ่านทั้งหมด 21571 ครั้ง
การดำเนินคดีอาญากับนิติบุคคล
ปัจจุบันบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลถูกดำเนินคดีอาญาเป็นจำนวนมาก เช่น การสำแดงเท็จในการนำเข้ารถเมล์จากต่างประเทศต่อกรมศุลกากร การหลบเลี่ยงภาษีตามกฎหมายสรรพากร การปลอมใบกำกับภาษีและใช้ใบกำกับภาษีปลอม การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสถานบันเทิง การขายยาหรืออาหารปลอม การออกเช็คแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในนามบริษัท การประเมินราคาทรัพย์สินให้กับสถาบันการเงินอันเป็นเท็จ และการกระทำความผิดในตลาดหลักทรัพย์ การมอบหมายให้บุคคลอื่นไปทวงหนี้หรือว่าจ้างบริษัทรับจ้างทวงหนี้ไปทวงหนี้หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นไปฟ้องคดีต่อศาลอันเป็นการฟ้องเท็จทางอาญา
มีหลายท่านสอบถามมาว่าในกรณีนิติบุคคลถูกดำเนินคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน และในชั้นศาลตามกฎหมายจะต้องดำเนินการอย่างไร ในเมื่อนิติบุคคลเป็นเพียงบุคคลที่กฎหมายสมมุติขึ้นมาไม่มีตัวตนจริง และไม่สามารถนำนิติบุคคลไปจำคุกได้ และไม่สามารถควบคุมตัวได้ กฎหมายจะมีวิธีการบังคับนิติบุคคลอย่างไร เพื่อบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 7 ในการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาคดีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย ให้ออกหมายเรียกผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคลนั้น ให้ไปยังพนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี
ถ้าผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก จะออกหมายจับผู้นั้นมาก็ได้ แต่ห้ามมิให้ใช้บทบัญญัติว่าด้วยปล่อยชั่วคราว ขังหรือจำคุกแก่ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคล ในคดีที่นิติบุคคลนั้นเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย
จากกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้การดำเนินคดีอาญากับนิติบุคคลต้องดำเนินคดีกับผู้แทนนิติบุคคล โดยให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกไปยังผู้แทนของนิติบุคคล แต่ห้ามมิให้ควบคุมตัวผู้แทนนิติบุคคล (ในกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นนิติบุคคลเท่านั้น )คำว่าผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคลตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง หมายถึงผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนและมีผลผูกพันตามที่ได้จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ดังนั้นถ้าจะพิจาณาว่าใครเป็นผู้แทนก็ต้องไปดูในหนังสือรับรองที่จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่วนคนที่ไม่มีชื่อหรือมีชื่อเป็นกรรมการแต่มีข้อจำกัดอำนาจกรรมการ กล่าวคือ ไม่มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท บุคคลเหล่านั้นไม่ถือว่าเป็นผู้แทน จึงไม่ถูกดำเนินคดีอาญา หากว่าบริษัทถูกดำเนินคดีอาญาตัวเองก็ไม่ต้องถูกดำเนินคดีไปด้วย ดังนั้น ใครก็ตามถ้าจะเป็นผู้แทนนิติบุคคลก็ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะยอมให้คนอื่นเอาชื่อของตัวเองไปเป็นกรรมการบริษัท ถ้าเป็นกิจการที่ผิดกฎหมายหรือสุ่มเสี่ยง ก็มีโอกาสติดคุกโดยไม่จำเป็นได้
เมื่อพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกผู้แทนของนิติบุคคลแล้วไม่ยอมมาตามหมายเรียก พนักงานสอบสวนก็มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ออกหมายจับผู้แทนของนิติบุคคลได้ แต่จะควบคุมตัวไม่ได้เว้นแต่ผู้แทนนิติบุคคลนั้นถูกดำเนินคดีอาญาอีกคนหนึ่ง (เป็นผู้ต้องหาคนที่สอง) ผลตามกฎหมาย โดยสภาพของนิติบุคคล คดีที่นิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดเพียงคนเดียว จะไม่มีการจับกุมกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน แต่เนื่องจากกรรมการของนิติบุคคลเป็นผู้กระทำการแทนนิติบุคคลอันก่อให้เกิดความผิดอาญาขึ้นนั้น ถือว่าเป็นกรรมการเป็นตัวการร่วมด้วย ในทางปฏิบัติพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหานิติบุคคลเป็นผู้ต้องหาที่ 1 กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนเป็นผู้ต้องหาที่ 2 การแจ้งข้อหาให้กับกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลถือว่าแจ้งข้อหาชอบแล้ว แต่ถ้าแจ้งข้อหากับกรรมการที่ไม่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลถือว่าการสอบสวนไม่ชอบ ทำให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4205/2541
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7 วรรคหนึ่งบัญญัติให้ในการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาคดีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย ให้ออกหมายเรียกผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆของนิติบุคคลนั้น ให้ไปยังพนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณีคำว่า ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคลตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้นย่อมหมายถึง ผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นตามกฎหมายเช่น กรรมการผู้จัดการของบริษัท
พนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ก. กรรมการคนหนึ่งของบริษัทจำเลยในฐานะตัวแทนบริษัทจำเลย โดยมิได้สอบสวน อ. กรรมการผู้จัดการและผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทจำเลยและตามบันทึกคำให้การของ ก. มีข้อความว่า ก. ไม่ขอให้การชั้นสอบสวนจะไปให้การในชั้นศาล และยังให้การว่า ก. เป็นกรรมการบริษัทจำเลย แต่ ก. ไม่มีอำนาจลงชื่อในการทำนิติกรรมของบริษัทจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าบริษัทจำเลยมอบอำนาจให้ ก. กระทำการแทนบริษัทจำเลยได้ ดังนี้ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน ก. ในฐานะตัวแทนบริษัทจำเลยเกี่ยวกับคดีอาญาคดีนี้ กรณีย่อมถือไม่ได้ว่ามีการสอบสวนบริษัทจำเลยโดยชอบแล้ว พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้องบริษัทจำเลยเป็นคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3117/2533
กรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไม่มีการจับกุมนิติบุคคลนั้น เพราะนิติบุคคลไม่อยู่ในสภาพที่จะให้จับกุมได้คงให้ใช้ วิธีออกหมายเรียกผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลมาเพื่อสอบสวนหรือพิจารณาแล้วแต่กรณี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7 การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกผู้จัดการบริษัทจำเลยให้ไปพบแล้วแจ้งข้อหาว่าบริษัทจำเลยกระทำความผิดนั้น ไม่เป็นการจับกุมผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้ รับรางวัลตาม พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 78