ถูกฟ้องทั้งที่ทำตามเงื่อนไขแล้ว
ดิฉันได้ค้ำประกันเงินกู้แก่ญาติจากธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่เคยทราบว่าคนกู้ไม่ได้ชำระเงินงวดแกธนาคาร มาเป็นเวลาเกือบปีเนื่องจากดิฉันย้ายที่อยู่ใหม่ (แต่ใช้เบอร์โทรเดิม)จนวันที่14สิงหา ได้รับจดหมายแจ้งจากทนาย (ส่งมาที่บ้านตามภมิลำเนาเดิมที่ย้ายมา) ให้ไปติดต่อชำระยอดเงินกู้ที่เหลือทั้งหมดแก่ธนาคารดังกล่าว หรือไม่ก็ติดต่อกลับทนายตามที่อยู่ที่ให้ไว้ภายใน 12 วัน นับจากวันที่เซ็นรับจดหมายดิฉันอยู่ไกลจากธนาคารมาก จึงโทรไปติดต่อไม่ได้ไปเอง เจ้าหน้าที่ธนาคารแจ้งว่าให้บอกคนกู้มาติดต่อก่อน ดิฉันจึงแจ้งคนกู้ให้ไปติดต่อธนาคารซึ่งเขาไปติดต่อวันที่ 17 สิงหาคม ธนาคารแจ้งว่าไม่ต้องชำระหมดกก็ได้ แต่ให้ชำระยอดค้างทั้งหมด แล้วต่อไปก็ชำระค่างวดปกติ ส่วนเรื่องทนายธนาคารจะแจ้งไม่ให้ส่งฟ้อง วันที่ 21 สิงหาคม คนกู้ได้นำเงินที่ค้างชำระไปชำระตามที่ธนาคารแจ้งยอดมา
จากนั้นเรื่องก็เงียบไป จนวันที่ 17กันยายน ดิฉันได้รับหมายศาลให้ไปขึ้นศาล เนื่องจากทนายฟ้องว่าได้ออกจดหมายแจ้งแล้วแต่ดิฉันกับผู้กู้เพิกเฉยไม่มีการติดต่อใดเลย ดิฉันจึงโทรถามธนาคาร ธนาคารแจ้งว่าคนกู้มาติดต่อชำระแล้ว แต่ธนาคารดึงเรื่องไม่ทันทนายได้ยื่นฟ้องไปก่อนแล้ว ส่วนทนายก็แจ้งว่าทางธนาคารไม่แจ้งมา เรื่องนี้ธนาคารแนะนำทางแก้ปัญหาคือให้ปิดปัญชีและรับผิดชอบค่าทนาย 5,500 บาท แล้วก็จะถอนฟ้องไม่ต้องไปขึ้นศาล ส่วนทนายแจ้งว่าอย่างไรต้องไปขึ้นศาลให้ได้ แล้วค่อยตกลงกัน ดิฉันต้องทำอย่างไรดีกับคดีนี้เนื่องจากไม่อยากไปศาลไม่อยากเสียค่าทนาย แล้วที่สำคัญก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อจดหมายของทนายตามที่ถูกฟ้องแล้ว เอกสารที่ทนายส่งมาก็ไม่ได้ระบุจำนวนเงินล่าสุดที่คนกู้ไปชำระวันที่ 21สิงหาคม แต่สำนวนถึงวันฟ้องระบุวันที่ 9 กันยายน ซึ่งก็หลังวันชำระ
คำแนะนำสำนักงานทนายความ ทนายคลายทุกข์
คดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดชำระหนี้ทางแพ่งดังกล่าวเมื่อธนาคารเจ้าหนี้ฟ้องร้องบังคับให้ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันรับผิดชำระหนี้แล้ว ถ้าสิทธิเรียกร้องแห่งหนี้ยังไม่ขาดอายุความที่ลูกหนี้จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธการชำระหนี้แล้ว ถ้าสิทธิเรียกร้องร้องนั้นได้แต่อย่างใดแล้ว ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันควรไปศาลในวันนัดพิจารณาเพื่อทำการไกล่เกลี่ยตกลงประนีประนอมหนี้กับโจทก์และศาลพิพากษาตามยอมต่อไปตามความมาตรา 25 แห่ง พรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551