งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ
ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ
สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ
รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ
คำพิพากษาฎีกา/กำหนดเวลาบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2541
ป.วิ.พ.มาตรา 271 กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการบังคับคดีเอากับลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เป็นงวดภายในระยะเวลาที่กำหนด เริ่มชำระงวดแรก วันที่ 2 พฤษภาคม 2529 หากผิดนัดให้บังคับได้ทันที และจำเลยทั้งสองผิดนัดตั้งแต่งวดแรก ดังนี้ กำหนดระยะเวลา 10 ปี ที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องเริ่มบังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสองในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษา จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2529 ซึ่งเป็นวันแรกที่โจทก์อาจขอให้บังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสองได้เป็นต้นไป เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2539 จึงยังอยู่ภายในกำหนด 10 ปี ที่โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงสามารถนำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายได้
คำอธิบาย
ป.วิ.พ. มาตรา 271 ได้กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องร้องขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งหมายถึงคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุด (ฎีกาที่ 1699/2549 ) หลักดังกล่าวใช้ได้เฉพาะกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในเนื้อหาคดีโดยทั่วไปเท่านั้น หากเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ไม่อาจนำหลักดังกล่าวมาใช้ได้ ดังนั้น แม้ภายหลังที่ศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้วจะไม่มีคู่ความอุทธรณ์ฎีกาอันเป็นเหตุให้คดีถึงที่สุด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 ก็ตาม ระยะเวลาการบังคับคดีก็ยังไม่อาจเริ่มนับได้ แต่จะต้องพิจารณาเนื้อหาและเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความว่ามีข้อตกลงกันไว้อย่างไร กรณีตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ได้ความว่า โจทก์และจำเลยมีข้อตกลงว่า ให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นงวด ๆ หากผิดนัดให้บังคับคดีได้ทันที ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยให้เริ่มนับระยะเวลาการบังคับคดีในวันถัดจากวันที่จำเลยผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งเป็นวันแรกที่โจทก์อาจบังคับคดีกับจำเลยได้
หมายเหตุ
1. มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2541,7823/2542,5391/2548 วินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกัน
2. การนับระยะเวลาการบังคับคดีใช้วิธีการนับและหลักเกณฑ์ตามที่ ป.พ.พ.มาตรา 193/3,193/5,193/8 บัญญัติไว้
3. ตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้มีข้อวินิจฉัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ หนี้ตามคำพิพากษาที่อยู่ในระหว่างระยะเวลาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถพิพากษานั้นเป็นบุคคลล้มละลายได้ แต่หากพ้นระยะเวลาการบังคับคดีแล้ว ก็ไม่อาจนำหนี้นั้นมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ อีกทั้งสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาอันถึงที่สุดมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 ดังนั้น หากมีการนำหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลาย จึงต้องนำมาฟ้องภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดด้วย เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วถือว่าขาดอายุความ หากเจ้าหนี้ยังนำมาฟ้อง ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง เพราะถือว่าเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย 2483 มาตรา 14 (ฎีกาที่ 5355/2530)
4. กรณีที่แม้จะมีการบังคับคดีภายในกำหนดเวลาแล้วก็ตาม แต่หากยังไม่สามารถนำมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ครบถ้วน เจ้าหนี้ก็ยังมีหน้าที่จะต้องร้องขอบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เพิ่มเติมเพื่อชำระหนี้ในส่วนที่เหลือภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด มิฉะนั้นแล้วย่อมหมดสิทธิบังคับคดีในหนี้ตามคำพิพากษาส่วนที่เหลือดังกล่าว และก็ไม่อาจนำหนี้ส่วนที่เหลือนั้นมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ ดังเหตุผลที่ได้กล่าวแล้วในข้อที่ 3 อีกทั้งการที่เจ้าหนี้เคยร้องขอบังคับคดีมาแล้วและได้เงินมาชำระหนี้บางส่วน ก็ไม่ใช่การกระทำอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีที่จะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14(5) แต่อย่างใด ดังที่ปรากฎตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8716/2550 ซึ่งได้วินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/32 การที่โจทก์ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาภายในกำหนด 10 ปี และได้นำเงินมาชำระหนี้บางส่วนนั้น โจทก์ก็ต้องรอขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือภายในระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่อาจใช้สิทธิบังคับคดี เมื่อโจทก์มิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์ย่อมหมดสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือ ทั้งการกระทำดังกล่าวไม่ใช่การกระทำอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีที่จะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14(5) เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลายเมื่อพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด สิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาดังกล่าว จึงขาดอายุความแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลายได้”
แต่กรณีที่เจ้าหนี้นำหนี้ตามพิพากษาอันถึงที่สุดมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายภายในกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/32 การฟ้องให้ล้มละลายดังกล่าวทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14(2) หากเจ้าหนี้นำหนี้ดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงเป็นการขอรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความสะดุดหยุดลง จึงไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 94(1) ดังที่ปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7104/2545 ซึ่งได้วินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2529 ให้ลูกหนี้ทั้งสองกับ ส. ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และโจทก์นำเอาหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องขอให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2539 เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องลูกหนี้ทั้งสอง ให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้น โดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุดมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/32 และมีผลเท่ากับการเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้ตามวิธีการที่ พ.ร.บ.ล้มละลายฯ กำหนดไว้โดยเฉพาะ อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14 (2) เมื่อเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้เข้าสวมสิทธิของโจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษานี้มายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2542 จึงเป็นการรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความสะดุดหยุดลง หนี้ตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้จึงไม่อาจขาดอายุความ ไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 94(1) กรณีดังกล่าวมิใช่เป็นการที่เจ้าหนี้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา จะนำรถเอาระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 มาปรับใช้แก่กรณีนี้หาได้ไม่”
สรุป
1. การนับระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี ให้เริ่มนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุด แต่หากคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดนั้นเกิดจากการที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน การเริ่มนับระยะเวลาการบังคับคดีให้พิจารณาเงื่อนไข และข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสำคัญ
2. หนี้ที่ไม่ได้มีการบังคับคดีภายในกำหนดระยะเวลาการบังคับคดี เจ้าหนี้ไม่อาจนำหนี้นั้นมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้