คำพิพากษาฎีกา/กำหนดเวลาบังคับคดี|คำพิพากษาฎีกา/กำหนดเวลาบังคับคดี

คำพิพากษาฎีกา/กำหนดเวลาบังคับคดี

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

คำพิพากษาฎีกา/กำหนดเวลาบังคับคดี

ป.วิ.พ.มาตรา 271 กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการบังคับคดีเอากับลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายในกำหนด 10 ปี

บทความวันที่ 1 ก.ย. 2554, 00:00

มีผู้อ่านทั้งหมด 16315 ครั้ง


คำพิพากษาฎีกา/กำหนดเวลาบังคับคดี


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2541

            ป.วิ.พ.มาตรา 271  กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการบังคับคดีเอากับลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายในกำหนด 10 ปี  นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา  เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เป็นงวดภายในระยะเวลาที่กำหนด  เริ่มชำระงวดแรก วันที่ 2 พฤษภาคม 2529  หากผิดนัดให้บังคับได้ทันที และจำเลยทั้งสองผิดนัดตั้งแต่งวดแรก ดังนี้  กำหนดระยะเวลา 10 ปี  ที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องเริ่มบังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสองในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษา  จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2529  ซึ่งเป็นวันแรกที่โจทก์อาจขอให้บังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสองได้เป็นต้นไป  เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม  2539  จึงยังอยู่ภายในกำหนด 10 ปี ที่โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงสามารถนำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายได้

คำอธิบาย

ป.วิ.พ. มาตรา 271  ได้กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องร้องขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง  ซึ่งหมายถึงคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุด (ฎีกาที่ 1699/2549 ) หลักดังกล่าวใช้ได้เฉพาะกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในเนื้อหาคดีโดยทั่วไปเท่านั้น  หากเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ไม่อาจนำหลักดังกล่าวมาใช้ได้  ดังนั้น  แม้ภายหลังที่ศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้วจะไม่มีคู่ความอุทธรณ์ฎีกาอันเป็นเหตุให้คดีถึงที่สุด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 ก็ตาม  ระยะเวลาการบังคับคดีก็ยังไม่อาจเริ่มนับได้  แต่จะต้องพิจารณาเนื้อหาและเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความว่ามีข้อตกลงกันไว้อย่างไร  กรณีตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ได้ความว่า โจทก์และจำเลยมีข้อตกลงว่า ให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นงวด ๆ หากผิดนัดให้บังคับคดีได้ทันที  ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยให้เริ่มนับระยะเวลาการบังคับคดีในวันถัดจากวันที่จำเลยผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ  ซึ่งเป็นวันแรกที่โจทก์อาจบังคับคดีกับจำเลยได้

หมายเหตุ 

1. มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2541,7823/2542,5391/2548 วินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกัน

2. การนับระยะเวลาการบังคับคดีใช้วิธีการนับและหลักเกณฑ์ตามที่ ป.พ.พ.มาตรา 193/3,193/5,193/8  บัญญัติไว้

3. ตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้มีข้อวินิจฉัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ หนี้ตามคำพิพากษาที่อยู่ในระหว่างระยะเวลาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถพิพากษานั้นเป็นบุคคลล้มละลายได้  แต่หากพ้นระยะเวลาการบังคับคดีแล้ว ก็ไม่อาจนำหนี้นั้นมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ อีกทั้งสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาอันถึงที่สุดมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32  ดังนั้น  หากมีการนำหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลาย จึงต้องนำมาฟ้องภายในกำหนดเวลา 10 ปี  นับแต่วันที่มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดด้วย เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วถือว่าขาดอายุความ  หากเจ้าหนี้ยังนำมาฟ้อง  ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง  เพราะถือว่าเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย  ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย 2483  มาตรา 14 (ฎีกาที่ 5355/2530)

4. กรณีที่แม้จะมีการบังคับคดีภายในกำหนดเวลาแล้วก็ตาม  แต่หากยังไม่สามารถนำมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ครบถ้วน  เจ้าหนี้ก็ยังมีหน้าที่จะต้องร้องขอบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เพิ่มเติมเพื่อชำระหนี้ในส่วนที่เหลือภายในกำหนด 1 ปี  นับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด  มิฉะนั้นแล้วย่อมหมดสิทธิบังคับคดีในหนี้ตามคำพิพากษาส่วนที่เหลือดังกล่าว  และก็ไม่อาจนำหนี้ส่วนที่เหลือนั้นมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ ดังเหตุผลที่ได้กล่าวแล้วในข้อที่ 3  อีกทั้งการที่เจ้าหนี้เคยร้องขอบังคับคดีมาแล้วและได้เงินมาชำระหนี้บางส่วน  ก็ไม่ใช่การกระทำอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีที่จะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14(5) แต่อย่างใด ดังที่ปรากฎตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8716/2550  ซึ่งได้วินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วมีกำหนดอายุความ 10 ปี  ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/32 การที่โจทก์ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาภายในกำหนด 10 ปี และได้นำเงินมาชำระหนี้บางส่วนนั้น   โจทก์ก็ต้องรอขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือภายในระยะเวลา 10 ปี  นับแต่วันที่อาจใช้สิทธิบังคับคดี เมื่อโจทก์มิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าว  โจทก์ย่อมหมดสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือ  ทั้งการกระทำดังกล่าวไม่ใช่การกระทำอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีที่จะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14(5) เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลายเมื่อพ้นกำหนด 10 ปี   นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด  สิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาดังกล่าว จึงขาดอายุความแล้ว  โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลายได้

            แต่กรณีที่เจ้าหนี้นำหนี้ตามพิพากษาอันถึงที่สุดมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายภายในกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/32  การฟ้องให้ล้มละลายดังกล่าวทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14(2) หากเจ้าหนี้นำหนี้ดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงเป็นการขอรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความสะดุดหยุดลง  จึงไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 94(1) ดังที่ปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7104/2545 ซึ่งได้วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2529  ให้ลูกหนี้ทั้งสองกับ ส. ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์  และโจทก์นำเอาหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องขอให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2539  เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องลูกหนี้ทั้งสอง  ให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้น โดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุดมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/32  และมีผลเท่ากับการเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้ตามวิธีการที่ พ.ร.บ.ล้มละลายฯ กำหนดไว้โดยเฉพาะ อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/14 (2) เมื่อเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้เข้าสวมสิทธิของโจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษานี้มายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2542  จึงเป็นการรับชำระหนี้ในขณะที่อายุความสะดุดหยุดลง หนี้ตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้จึงไม่อาจขาดอายุความ  ไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 94(1) กรณีดังกล่าวมิใช่เป็นการที่เจ้าหนี้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา  จะนำรถเอาระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี  ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 มาปรับใช้แก่กรณีนี้หาได้ไม่

สรุป

1. การนับระยะเวลาการบังคับคดี 10 ปี ให้เริ่มนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุด  แต่หากคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดนั้นเกิดจากการที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน  การเริ่มนับระยะเวลาการบังคับคดีให้พิจารณาเงื่อนไข และข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสำคัญ

2. หนี้ที่ไม่ได้มีการบังคับคดีภายในกำหนดระยะเวลาการบังคับคดี  เจ้าหนี้ไม่อาจนำหนี้นั้นมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1

กรณีที่มีการสวมสิทธิ์โดยใช้ช่องทางกฎหมาย พรก.สินทรัพย์เมื่อปี2541 เพราะอายุความสิ้นสุดลงเมื่อ 30 กค.2561 แต่ใช้กฎหมายนี้ยื่นก่อน 14 กรกฎาคม 2561และเมื่อ 29 สิงหาคม ก็ไปตามคำสั่งของศาลและไปเขียนคำคัดค้าน/คำขอไว้ กรณีของอายุความแต่โจทก์ไม่มาศาลเองและเจ้าหน้าที่ศาลให้กลับไปก่อนเนื่องจากผมได้ระบุไปว่าผมโดนพิพากษาเป็นคดีดำและคดีแดงไปแล้วและยังโดนบังคับคดีอีกต่างหาก ทางโน่นไม่ทางโน่นไม่สามารถที่จะมาสวมสิทธิ์ช่วงที่อายุความใกล้หมด ตอนนี้เจ้าหน้าที่ศาลจะให้ผมไปเขียนคำนัดเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมาฟังคำพิพากษาได้แต่ดูจากการพูดคุยเหมือนจะรีบให้มาเซ็นต์อะไรสักอย่างบอกตรงๆว่ากลัวครับและมาใช้ช่องทางกฎหมายของ พรก.สินทรัพย์ปี 2541 แม้อายุความหรือบังคดีสิ้นสุดลงแล้วก็ยังทำต่อเนื่องได้อยู่มันจริงใช่ไหมครับ?

โดยคุณ คุณเล็ก 6 พ.ย. 2561, 08:12

ตอบความคิดเห็นที่ 1

การสวมสิทธิ์บังคับคดีจากเจ้าหนี้เดิม ตาม พรก.บริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 นั้น เจ้าหนี้เดิมมีสิทธิเท่าไร บริหารสินทรัพท์ที่ขอสวมสิทธิ์จะได้สิทธิตามนั้นค่ะ หากเหลือเวลาในการบังคับคดีไม่มาก ก็รับมาแค่เท่าที่เหลือค่ะ

โดยคุณ ทีมงานทนายคลายทุกข์ 22 พ.ย. 2561, 14:09

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก