หากกรณีที่จะต้องริบมัดจำ ถ้ามัดจำนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงให้ริบได้เพียงเท่าความเสียหายที่แท้จริงก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2565
ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าห้องชุดพิพาทมีความชำรุดบกพร่อง มีน้ำรั่วบนฝ้าเพดานไม่พร้อมส่งมอบและโอนให้แก่โจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นประจักษ์ได้ง่าย โจทก์ทั้งสองสามารถตรวจสอบได้ มิใช่การกระทำใดๆ ที่อยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของจำเลยผู้ประกอบธุรกิจ ภาระการพิสูจน์ไม่ตกแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 29 โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าห้องชุดพิพาทมีความชำรุดบกพร่อง จำเลยให้การปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่โจทก์ทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7
ไม่มีบทบัญญัติใดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้อำนาจศาลลดมัดจำลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ดังเช่นกณณีเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน แต่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 7 บัญญัติว่า "ในสัญญาที่มีการให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำหากมีกรณีจะต้องริบเงินมัดจำ ถ้ามัดจำนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงให้ริบได้เพียงเท่าที่ความเสียหายที่แท้จริงก็ได้" เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้วางมัดจำ แม้โจทก์ทั้งสองจะมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7
เงินมัดจำที่จำเลยต้องคืนแก่โจทก์ทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 7 เป็นการคืนให้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเพราะเหตุศาลฎีกาใช้ดุลพินิจหยิบยกขึ้่นวินิจฉัยและให้ลดและคืนเงินมัดจำบางส่วนให้แก่โจทก์ทั้งสอง มิใช่คืนเพราะเหตุจำเลยผิดสัญญา โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้่ย กรณีผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง