บันทึกคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่น แม้เป็นพยานบอกเล่า แต่ก็สามารถรับฟังได้
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5683/2562
ผู้เสียหายมาเบิกความภายหลังเกิดเหตุเป็นเวลานานประมาณ 8 ปี เนื่องจากเพิ่งจับจำเลยได้ ผู้เสียหายอาจหลงลืมหรือจดจำข้อเท็จจริงได้ไม่สมบูรณ์ นับแต่ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายที่เคยเบิกความไว้ในคดีอื่นของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพียงรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายที่เคยเบิกความไว้ในคดีดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีให้มีน้ำหนักมั่นคงเท่านั้น จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/5
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2561
แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยาน คงมีเพียงบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวน และภาพถ่ายการชี้ที่เกิดเหตุของผู้เสียหายอันเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้านศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังก็ตาม แต่ปรากฎข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์ผู้เสียหายมาศาลและเข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ไปได้ประมาณ 10 นาที ผู้เสียหายแถลงว่าจดจำข้อเท็จจริงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้เนื่องจากเพิ่งคลอดบุตรได้ประมาณ 40 วัน ศาลชั้นต้นหารือโจทก์และจำเลยแล้ว ทั้งสองฝ่ายแถลงร่วมกันว่าขอให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ปากผู้เสียหายในนัดหน้า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ ครั้นถึงวันนัดผู้เสียหายไม่มาศาล ศาลชั้นต้นเลื่อนคดีและออกหมายจับผู้เสียหายเพื่อนำตัวมาเป็นพยานหลายนัดแต่ไม่ได้ตัวมาจนต้องสืบพยานปากผู้เสียหาย เช่นนี้พฤติการณ์ในการหลบหนีและไม่ยอมมาเบิกความในชั้นพิจารณาของผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี ศาลย่อมรับฟังบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นพยานบอกเล่าเพื่อลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง และถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายที่เบิกความไว้ในคดีอาญาของศาลชั้นต้นที่พวกของจำเลยถูกฟ้องในความผิดเดียวกันมาประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/5