อุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาคดีอาญา ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6187/2562
ในวันนัดพิจารณาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยขอถอนคำให้การรับสารภาพเป็นให้การปฏิสธ ไม่มีเหตุผลอันสมควรและล่วงเลยระยะเวลาแล้ว จึงไม่อนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การและเลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 ธันวาคม 2560 คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 บัญญัติว่า "คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นจนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญและมีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นด้วย" ดังนั้น เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยบทบัญญัติดังกล่าว แต่อุทธรณ์ของจำเลยที่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นกล่าวเพียงว่า ศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยในการถอนคำให้การเป็นการตัดสิทธิจำเลยต่อสู้คดี ทำให้ข้อเท็จจริงไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นเพียงการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196