ครอบครองยาเสพติด 4,000 เม็ด ต่อสู้ว่ามีไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย หากไม่มีพฤติการณ์จำหน่าย
บทสันนิษฐานตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคสาม (2) เป็นบทสันนิษฐานไม่เด็ดขาด หากจำเลยพิสูจน์ได้ว่ายาเสพติดของกลางที่จำนวนสารบริสุทธิ์เกินสามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัม หรือเกิน15หน่วยการใช้(15เม็ด) นั้นจำเลยไม่มีเจตนาจำหน่ายหรือแบ่งเสพกับบุคคลอื่น ก็สามารถต่อสู้คดีได้ว่ามีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำพิพากษาฎีกาที่ 896/2563
คดีนี้ จำเลยที่ 2 ถูกจับพร้อมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 จำนวน 4,000 เม็ด แต่พฤติการณ์แห่งคดีจำเลยที่ 2 พบยาเสพติดของกลางดังกล่าวแล้วนำไปซุกซ่อนไว้ ไม่มีพฤติการณ์แบ่ง หรือจำหน่ายให้กับจำเลยหรือผู้อื่น แสดงให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของจำเลยที่ 2 ว่าเพียงแต่ต้องการสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตนเองเท่านั้น โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสิ่งของที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาครอบครองยาเสพติดจำนวนดังกล่าวไว้เพื่อตนเองเท่านั้น ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงสามารถพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) ได้
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
มาตรา 15 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เว้นแต่รัฐมนตรีได้อนุญาตเฉพาะในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการการขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1ตามปริมาณ ดังต่อไปนี้ ให้สันนิษฐานว่าเป็นการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
(1) เด็กซ์โตรไลเซอร์ไยด์ หรือ แอล เอส ดี มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ศูนย์จุดเจ็ดห้ามิลลิกรัมขึ้นไป หรือมียาเสพติดที่มีสารดังกล่าวผสมอยู่จำนวนสิบห้าหน่วยการใช้ขึ้นไปหรือมีน้ำหนักสุทธิตั้งแต่สามร้อยมิลลิกรัมขึ้นไป
(2) แอมเฟตามีนหรืออนุพันธ์แอมเฟตามีน มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป หรือมียาเสพติดที่มีสารดังกล่าวผสมอยู่จำนวนสิบห้าหน่วยการใช้ขึ้นไปหรือมีน้ำหนักสุทธิตั้งแต่หนึ่งจุดห้ากรัมขึ้นไป
(3) ยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 นอกจาก (1) และ (2) มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามกรัมขึ้นไป