การท้าสาบานในศาลทำได้
คู่ความท้ากันให้ดื่มน้ำสาบานหรือกล่าวคำสาบาน เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาในศาล เป็นคำท้าที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยอาจตกลงให้คู่ความหรือพยานหรือบุคคลภายนอกเป็นผู้ปฏิบัติตามคำท้าได้
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2520
คู่ความตกลงกันให้ถือเอาข้อแพ้ชนะจากการที่จำเลยกับพวกอีก 2 คน กล้าสาบานและดื่มน้ำสาบานหรือไม่ ถึงวันนัด ว. พวกของจำเลยคนหนึ่งใน 2 คน ไม่ยอมสาบานและดื่มน้ำสาบาน โดยแถลงต่อศาลว่าไม่กล้าสาบานและดื่มน้ำสาบานเพราะบุตรห้ามเกรงว่าคำสาบานจะติดถึงลูกหลานแม้จะอ้างเหตุดังกล่าวก็เป็นที่แน่นอนว่าไม่กล้าสาบานและดื่มน้ำสาบาน คดีต้องเป็นไปตามที่คู่ความได้ท้ากันทุกประการ
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2530
คู่ความท้ากันโดยตกลงเอาการสาบานของจำเลยและส.เป็นเงื่อนไข กล่าวคือถ้าบุคคลทั้งสองยอมสาบานโจทก์ก็ยอมรับตามข้ออ้างของจำเลยและยอมแพ้คดี แต่ถ้าบุคคลทั้งสองไม่ยอมสาบานจำเลยก็เป็นฝ่ายแพ้คดี ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับระหว่างคู่ความได้ ส่วนการสาบานตนของส.เป็นเพียงเงื่อนไขที่คู่กรณีกำหนดขึ้น การที่ ส.ไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการตกลงนั้น หาทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ เมื่อจำเลยและส.ไปยังสถานที่กำหนดแล้ว แต่บุคคลทั้งสองไม่ยอมสาบาน จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามคำท้า.
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2533
การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันให้ ก. กับ พ.ซึ่งเป็นบุคคลที่จำเลยอ้างว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยแทนโจทก์สาบานตนตามที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้กล่าวนำสาบานถ้า ก. กับ พ.สาบานได้ว่ายังไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยไปครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองยอมแพ้คดีถ้าไม่กล้าสาบานโจทก์ยอมแพ้คดีนั้น แม้ ก. กับ พ. จะมิใช่โจทก์หรือผู้มีส่วนได้เสียก็ตาม การสาบานตนของบุคคลทั้งสองก็เป็นเงื่อนไขที่คู่กรณีกำหนดขึ้นเพื่อให้ศาลวินิจฉัยข้อแพ้ชนะในคดีทั้งคำท้าสาบานก็ตรงกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีที่ศาลกำหนดไว้แล้ว ข้อตกลงท้ากันดังกล่าวจึงมีผลบังคับระหว่างคู่ความ โจทก์และจำเลยทั้งสองรู้จัก ก. และ พ. ผู้สาบานซึ่งเป็นสามีภรรยากันมาก่อนในวันนัดสาบานตัว ฝ่ายจำเลยได้นำสาบานโดยมิได้โต้แย้งคัดค้านเรื่องตัวผู้สาบาน ผู้สาบานได้สาบานตามคำท้าแล้ว โจทก์ จำเลยทั้งสองและผู้สาบานลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาของศาล โดยผู้สาบานลงชื่อว่า จ. และ พ. ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน แสดงว่า ก. ซึ่งคู่ความตกลงให้เป็นผู้สาบาน กับ จ.ซึ่งสาบานและลงชื่อไว้นั้นเป็นบุคคลคนเดียวกัน แต่มี 2 ชื่อภายหลังฝ่ายจำเลยจึงจะอ้างว่า จ. กับ ก. เป็นคนละคนกันไม่มีสิทธิสาบาน คำสาบานของ จ.ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหาได้ไม่.
4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2519
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดิน อ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยให้การยอมรับว่าจำเลยอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ แต่อ้างว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ได้ เพราะโจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนกันในการผลิตไม้ปาเก้ออกจำหน่ายเพื่อแบ่งผลกำไร และขณะนี้ห้างหุ้นส่วนยังไม่เลิกกัน ดังนี้จำเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เพื่อสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยว่าตนมีสิทธิอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ได้ซึ่งถ้าเป็นจริงดังจำเลยต่อสู้ จำเลยก็ชนะคดี หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนี้จึงตกแก่จำเลย เมื่อคู่ความท้ากันว่าหน้าที่นำสืบตกฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นแพ้คดี โดยคู่ความไม่สืบพยาน จำเลยก็ต้องแพ้คดีตามคำท้า