งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ
ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ
สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ
รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ
คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ
บุคคลที่มิได้อยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าหนี้้ฟ้องเพิกถอนไม่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9831/2560
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หา อันเป็นทางให้โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบ จึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมเป็นหนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ซึ่งเป็นสามีภริยากันตามป.พ.พ.มาตรา 1480(1)ถึง(4) ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในหนี้ตามคำพิพากษาร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งจะมีผลให้จำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้โจทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้โจทก์ ประกอบกับโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า หนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนให้ที่ดินตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3
เข้าไปในคลินิคทันตกรรมในเวลาเปิดทำการโดยมีเหตุสมควร ไม่เป็นบุกรุก
คำพิพากษาฎีกาที่ 1245/2561
การเปิดคลินิกทันตกรรมของโจทก์ก็เพื่อให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป ประชาชนรวมทั้งจำเลยย่อมมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ จำเลยเข้าไปในคลินิกทันตกรรมของโจทก์ในเวลาเปิดทำการ แม้จะเป็นการเข้าไปและถ่ายภาพในห้องตรวจรักษาคนไข้ด้วยก็เพราะต้องการสอบถามโจทก์ถึงสาเหตุที่โจทก์แย่งลูกค้าไปจากคลินิกของจำเลย แต่เมื่อโจทก์ให้ตามพนักงานรักษาความปลอดภัยมาไล่ให้จำเลยออกจากคลินิกจำเลยก็มิได้ขัดขืนรีบเดินกลับออกไปทันทีที่เห็นพนักงานรักษาความปลอดภัย การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362
ภยันตรายผ่านพ้นไปแล้ว อ้างป้องกันไม่ได้ แต่อ้างบันดาลโทสะได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5486/2560
จำเลยเห็นผู้ตายขณะที่มีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลยจึงเข้าไปชกต่อยต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อจำเลยเพลียงพล้ำ ภริยาจำเลยและผู้ตายรีบสวมใส่กางเกง แล้วภริยาจำเลยไปติดเครื่องรถจักรยานยนต์และเรียกผู้ตายขึ้นรถ ผู้ตายก็รีบวิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ภริยาจำเลยขับออกไป ดังนี้ ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยวิ่งตามไปทันทีแล้วใช้ไม้และเสียมตีผู้ตาย จึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนได้ แต่อย่างไรก็ดี การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องกระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่จำเลยเห็นผู้ตายมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลย ถือได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 หาใช่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ 4895/2561
การกระทำโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ.มาตรา 72 เป็นการกระทำที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ส่วนการป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 หรือการป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69 นั้น เป็นกรณีที่ผู้กระทำจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจึงไม่อาจเป็นทั้งการกระทำโดยบันดานโทสะและป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุในขณะเดียวกันได้ เนื่องจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ผู้กระทำจะกระทำเพื่อป้องกันสิทธิได้จะต้องเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและภยันตรายนั้นยังมิได้สิ้นสุดลง หากภยันตรายนั้นผ่านพ้นไปแล้วผู้กระทำก็ไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิได้ อย่างไรก็ดี ภยันตรายดังกล่าวแม้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็อาจเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมได้อย่างหนึ่งหากผู้ถูกข่มเหงได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น คือในระยะเวลาต่อเนื่องที่ตนยังมีโทสะอยู่ ย่อมถือว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
จำเลยมีอาวุธปืนอยู่ในมือในขณะที่ผู้ตายไม่มีอาวุธเป็นพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่า ผู้ตายคงไม่กล้าทำร้ายจำเลยอีกต่อไปแล้ว จึงถือได้ว่าภยันตรายดังกล่าวที่ผู้ตายก่อได้ผ่านพ้นไปแล้ว อย่างไรก็ดี ตามพฤติการณ์ที่จำเลยยิงผู้ตายถึง 6 นัด แล้วยังบรรจุกระสุนปืนเพิ่มและยิงผู้ตายอีกก็ต่อเนื่องมาจากกากระทำของผู้ตายที่กระทำต่อจำเลย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันเไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตายไปในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับการกระทำดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ หาใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุด้วยในขณะเดียวกัน และเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทไม่ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ตกลงซื้อขายกันแล้ว กรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อ แม้ยังชำระไม่ครบ ไม่ผิดลักทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 3366/2561
จำเลยขับรถกระบะไปเปลี่ยนยางรถที่ร้านผู้เสียหาย โดย บ. ญาติจำเลยไปด้วย ผู้เสียหายคิดราคายาง 4 เส้น เป็นเงิน 8,000 บาท จำเลยตกลงเปลี่ยนยางทั้งสี่เส้น ว. ลูกจ้างประจำร้านเป็นผู้เปลี่ยนให้โดยใส่ยางรถชุดเก่าไว้ในกระบะรถ เมื่อเปลี่ยนยางรถเสร็จทั้งสี่เส้นแล้ว ว. ถอยรถกระบะไปจอดที่บริเวณหน้าร้านโดยติดเครื่องยนต์ไว้ จากนั้นประมาณ 3 นาที จำเลยขับรถกระบะดังกล่าวออกจากร้าน โดยไม่ชำระราคา ขณะตกลงซื้อขายยางรถระหว่างจำเลยกับผู้เสียหาย จำเลยไม่มีเจตนาที่จะใช้กลอุบายหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งมอบยางรถทั้งสี่เส้นโดยไม่คิดจะชำระราคามาแต่ต้น ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในยางรถทั้งสี่เส้นย่อมไปยังจำเลยซึ่งเป็นผู้ซื้อตั้งแต่เมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายและกำหนดเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้วตาม ป.พ.พ.มาตรา 458 และมาตรา 460 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยยังมิได้ชำระราคาแก่ผู้เสียหาย ก็เป็นมูลคดีผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น หามีมูลความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ไม่
ส่งมอบสินสอดหรือของหมั้นแก่กันแล้ว หากหยิบเอาไป ผิดวิ่งราวทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 7868/2560
น.บุตรโจทก์ร่วมรักใคร่ชอบพอกับ ช. บุตรชายจำเลยจนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ โจทก์ร่วมและจำเลยได้จัดพิธีมงคลสมรสให้แก่ น. และ ช. ที่บ้านของโจทก์ร่วม โดยฝ่ายจำเลยมอบเงินสด 200,000 บาท สร้อยคอทองคำ 5 เส้น สร้อยข้อมือทองคำ 4 เส้น ที่ฝ่ายจำเลยอ้างว่า มีน้ำหนัก 9 บาท ให้แก่ฝ่ายโจทก์ร่วมต่อมาวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ โจทก์ร่วมนำสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำดังกล่าว ซึ่งเป็นทรัพย์ตามฟ้องไปตรวจสอบพร้อมกับฝ่ายจำเลยที่ร้านทอง ผลการตรวจสอบได้น้ำหนักเพียง 8.25 บาท จึงเกิดการโต้เถียงกัน ระหว่างนั้น จำเลยหนีบเอาสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำ รวม 9 เส้น ราคา 193,875 บาท ที่วางอยู่บนโต๊ะของร้านทองไปสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำอันเป็นทรัพย์ตามฟ้องจะเป็นสินสอดหรือของหมั้นหรือไม่ก็ตาม แต่ฝ่ายจำเลยก็ส่งมอบทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ฝ่ายโจทก์ร่วมยึดถือครอบครองอันเป็นการยกให้ในวันพิธีมงคลสมรสแล้ว จำเลยจึงไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์ตามฟ้อง ดังนี้ หากจำเลยเห็นว่าฝ่ายโจทก์ร่วมไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างไรจำเลยก็ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรียกทรัพย์คืน หามีสิทธิฉกฉวยเอาทรัพย์มาโดยพลการไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
ที่มา : บทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคหนึ่ง สมัยที่ 72 ปีการศึกษา 2562 เล่มที่ 3