ความคิดเห็นที่ 1

การบังคับคดี

  คงเป็นสูตรสำเร็จ  ของบรรดาไฟแนนซ์ทั้งหลาย  ที่จะดำเนินการไปในทางเดียวกัน คือ เมื่อผิดนัดการส่งงวดฯ  ก็จะบอกเลิกสัญญาฯ  และยึดรถคืนนำไปขายทอดตลาด  อ้างว่าได้ราคาต่ำ  จะเรียกค่าส่วนต่างนี้ จาก  ผู้เช่าซื้อ  ถ้าผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าส่วนต่าง  ก็จะฟ้องเรียกค่าส่วนต่าง  เมื่อศาลให้ชำระหนี้ ตามฟ้อง  ถ้าผู้เช่าซื้อเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา   สุดท้ายคือขอหมายบังคับคดี  เพื่อยึดทรัพย์ลูกหนี้ ไปขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้(ส่วนต่าง พร้อมดอกเบี้ย)...

   หนทางแก้ไข  เบื้องต้นควรใช้การเจรจาเพื่อขอผ่อนส่งค่าส่วนต่าง  ในจำนวนที่เป็นธรรม  โดยผ่อนส่งในจำนวนที่เหมาะสม...ถ้าการเจรจาไม่เป็นผล  ก็คงมีการฟ้องศาล  ก็ควรไปศาลตามนัด เพื่อขอให้มีการไกล่เกลี่ยกันอีก  ถ้าไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ   ก็ควรยื่นคำให้การต่อสู้  บอกถึงรายละเอียดในการเช่าซื้อ  การส่งวดมานานเพียงใด  ค่าส่วนต่างที่เรียกร้องนั้นสูงเกินควร  จากประสบการณ์จริงที่พบมา  ศาลมักจะดูรายละเอียดต่างๆอย่างครบถ้วน  ค่าส่วนต่างอาจลดลง  30-40-50% ก็เป็นไปได้  ก็ใช้การเจรจาขอผ่อนส่งต่อไป

     ข้อควรคำนึ่ง...ถ้าถูกฟ้อง  เพื่อเรียกค่าส่วนต่าง   ถ้าไม่สนใจไปศาลเลย ไม่ว่าด้วยเหตุใด  ก็ไม่มีความผิดใดๆ   แต่ถือว่าจำเลย สละสิทธิ์ ในการต่อสู้คดี (การขาดนัดฯ) ศาลสามารถพิจารณาคดีฝ่ายเดียวได้(ลับหลังจำเลย) จำเลยคงแพ้คดี  เพราะไม่สนใจในการต่อสู้คดี  ศาลคงให้ใช้หนี้เต็มตามที่โจทก์ฟ้องมา..การบังคับคดี(ยึดทรัพย์)ย่อมตามมา  ทรัพย์สินของภรรยา ก็คงยึดได้ ถ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นหนี้  ก็ต้องศึกษาข้อมูลเรื่องนี้ จากผู้รู้อย่างจริงจัง  เพื่อให้สามารถเอาตัวรอดได้  โดยไม่ต้องเดือดร้อนจนเกินควร  การแนะนำในที่นี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่ง  คงช่วยอะไรได้ไม่มากนัก  ต้องหาผู้ช่วยเพิ่มเติมตามสมควร  ด้วยความปรารถนาดี ครับ

โดยคุณ มโนธรรม เจษฎาสาธุชน 8 ส.ค. 2566, 10:41