ห้ามศาลพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 2513/2557
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง จากเดิมที่ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 38,555.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 36,051.72 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เป็นว่าขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 32,639.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 30,519.82 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นยังคงพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหาย 38,555.59 บาทพร้อมอัตราดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 36,051.72 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดเกินกว่าคำขอท้ายฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 หรือไม่นั้น
เห็นว่า ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเป็นว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 30,519.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2550 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่โจทก์ได้จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ไปคิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,119.62 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 32,639.48 บาท และขอแก้ไขคำขอทายฟ้องเป็นว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 32,639.48 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 30,519.82 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ว่า “สำเนาให้จำเลย รอสั่งวันนัด” หลังจากนั้นศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อมาจนเสร็จสำนวนโดยมิได้มีคำสั่งคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์แต่ปะการใด ถือว่าศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามคำขอท้ายฟ้องเดิมจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ แต่อย่างไรก็ตาม โจทก์นำสืบว่า โจทก์เสียค่าแรงและค่าอะไหล่เป็นเงิน 30,519.82 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 30,519.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2550 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่โจทก์ได้จ่ายเงินค่าซ่อมรถยนต์ไป คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,119.62 บาท รวมเป็นค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 32,6390.48 บาท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 38,555.59 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 36,051.72 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทำให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเกินกว่าที่โจทก์มีสิทธิเป็นการไม่ชอบ และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน