ฆ่าแม่แท้ๆ เอาศพไปฝังกลางไร่มัน
จากข่าวหนุ่มนครสวรรค์ฆ่าแม่บังเกิดเกล้าขณะที่กำลังนอนดูทีวีอยู่ภายในบ้านพัก ปรากฏว่ามารดาได้มาเปลี่ยนช่องทีวีที่ตนกำลังดูอยู่ จึงทำให้เกิดความโมโหที่มารดามาแย่งดูทีวี ประกอบกับก่อนหน้านี้ ได้ขอให้มารดาซื้อโทรศัพท์มือถือให้ แต่มารดาอ้างว่าไม่มีเงิน จึงทำให้เกิดความโมโหสะสม ลุกขึ้นไปหยิบไม้หน้าสามฟาดไปที่ศีรษะด้านหลังของมารดาอย่างแรง จนมารดาร้องขอชีวิต เป็นความผิดอย่างไรบ้าง ศึกษาได้จากข้อกฎหมายและคำพิพากษาศาลฎีกาดังนี้
(ที่มา https://www.sanook.com/news)
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 289 ผู้ใด
(1) ฆ่าบุพการี
(2) ฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำ หรือได้กระทำการตามหน้าที่
(3) ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่บุคคลนั้นจะช่วยหรือได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว
(4) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
(5) ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
(6) ฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น หรือ
(7) ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอา หรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
ต้องระวางโทษประหารชีวิต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4581/2543
จำเลยใช้มีดดาบฟันผู้เสียหาย 2 ครั้ง ขณะผู้เสียหายอยู่ในมุ้งแล้วจำเลยไม่ได้ฟันซ้ำอีกทั้งที่มีโอกาสกระทำได้ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่แขนและใบหูไม่ถึงสาหัส บาดแผลที่ใบหูผู้เสียหายเป็นบาดแผลในแนวราบ ซึ่งหากคมมีดถูกศีรษะผู้เสียหายโดยแรง ใบหูผู้เสียหายย่อมขาด และคมมีดย่อมบาดเข้าในขมับผู้เสียหายเป็นแผลลึกการที่มีบาดแผลเพียงใบหูเกือบขาด แสดงว่าคมมีดถูกศีรษะผู้เสียหายไม่แรง ส่วนที่มีมุ้งกีดขวาง เป็นสภาพที่มีอยู่ก่อนจำเลยลงมือกระทำหากจำเลยมีเจตนาให้เกิดบาดแผลร้ายแรงแก่ผู้เสียหาย จำเลยย่อมกระทำให้สัมฤทธิ์ผลได้ เช่น ฟันให้แรงขึ้น หรือฟันสายมุ้งให้ขาดและผ้ามุ้งคลุมแนบตัวผู้เสียหายแล้วจึงฟันผู้เสียหาย หรือตลบมุ้งขึ้นก่อนแล้วจึงฟันผู้เสียหาย พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า จำเลยใช้มีดดาบฟันผู้เสียหาย 2 ครั้ง ขณะผู้เสียหายอยู่ในมุ้ง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยฟันผู้เสียหายเพียง 2 ครั้ง แล้วไม่ได้ฟันซ้ำอีกทั้งที่มีโอกาสกระทำได้ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่แขนและใบหูไม่ถึงสาหัส หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย น่าจะฟันซ้ำอีกหลายครั้ง ที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่าจำเลยคงคิดว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายจึงหนีไป เป็นเพียงการคาดคะเนไม่มีพยานหลักฐานอันจะนำมาสนับสนุนให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยเช่นนั้นได้ที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่า หากผู้เสียหายหลบไม่ทันและมุ้งไม่กีดขวาง ศีรษะผู้เสียหายคงแยกเป็น 2 เสี่ยงนั้น ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสารท้ายฟ้องปรากฏว่าบาดแผลที่ใบหูผู้เสียหายเป็นบาดแผลในแนวราบ ใบหูเกือบขาดฟังได้ว่าจำเลยฟันถูกศีรษะผู้เสียหายแล้วตรงใบหูโดยฟันในแนวราบ ซึ่งหากคมมีดถูกศีรษะผู้เสียหายโดยแรง ใบหูผู้เสียหายย่อมขาดและคมมีดย่อมบาดเข้าในขมับผู้เสียหายเป็นแผลลึก การที่มีบาดแผลเพียงใบหูเกือบขาดเท่านั้น แสดงว่าคมมีดถูกศีรษะผู้เสียหายไม่แรง ส่วนข้อที่มีมุ้งกีดขวางนั้น เป็นสภาพที่มีอยู่ก่อนจำเลยลงมือกระทำ หาใช่เหตุขัดขวางที่เกิดขึ้นภายหลังลงมือกระทำ หากจำเลยมีเจตนาให้เกิดบาดแผลร้ายแรงแก่ผู้เสียหายจำเลยย่อมกระทำให้สัมฤทธิ์ผลได้ เช่น ฟันให้แรงขึ้นหรือฟันสายมุ้งให้ขาดและผ้ามุ้งคลุมแนบตัวผู้เสียหายแล้วจึงฟันผู้เสียหายหรือตลบมุ้งขึ้นก่อนแล้วจึงฟันผู้เสียหาย พยานโจทก์ที่นำสืบและพฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 7วินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายนั้นชอบแล้ว การกระทำของจำเลยฟังได้ว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าบุพการี แม้ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า หากรับฟังว่าเป็นเพียงกรณีทำร้ายร่างกายก็จะต้องลงโทษฐานทำร้ายร่างกายบุพการีก็ตาม ย่อมแปลได้ว่า โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 ด้วยแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ และศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีการกระทำของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรงไม่ยำเกรงต่อบุพการีควรลงโทษในสถานหนัก"