ทนายชี้'เพื่อนบ้านโหด'ขับชนเจตนาฆ่า โทษประหารชีวิต
จากข่าวผู้ต้องหาเป็นเพื่อนบ้านฝั่งตรงกันข้าม ได้ขับรถจอดหน้าบ้านของตนและได้มีการขับรถถอยหลังเล็กน้อยและขับรถพุ่งชน เพื่อนบ้านขณะกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านอย่างแรงเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จากนั้นได้ขับรถหลบหนีไป ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการมีปากเสียงกันมาก่อน
(ที่มา https://www.dailynews.co.th)
ตัวบทกฏหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
มาตรา 289 ผู้ใด
(1) ฆ่าบุพการี
(2) ฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำ หรือได้กระทำการตามหน้าที่
(3) ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่บุคคลนั้นจะช่วยหรือได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว
(4) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
(5) ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
(6) ฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น หรือ
(7) ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอา หรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
ต้องระวางโทษประหารชีวิต
คำพิพากษาฎีกาที่ 5923/2559
วินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมาว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมทั้งสอง อันเป็นการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาหรือไม่ เห็นว่า จำเลยขับรถยนต์คันเกิดเหตุชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมทั้งสอง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายของรถยนต์คันเกิดเหตุ ประกอบบันทึกการตรวจพิสูจน์เครื่องกลและเครื่องอุปกรณ์รถยนต์คันเกิดเหตุ เห็นได้ว่า รถยนต์คันเกิดเหตุได้รับความเสียหายพอสมควรคือ ไฟหน้าด้านซ้ายแตก ฝากระโปรงหน้ายุบ กระจังหน้าด้านซ้ายแตก และบังโคลนหน้าด้านซ้ายบุบ ส่วนโจทก์ร่วมทั้งสองถูกจำเลยขับรถยนต์คันเกิดเหตุชนท้ายรถจักรยานยนต์จนกระเด็นหล่นจากรถจักรยานยนต์ แสดงว่าขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์พุ่งชนอย่างแรง และรถยนต์ของจำเลยยังมีขนาดและแรงปะทะมากกว่ารถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมทั้งสอง นอกจากนี้เมื่อมีการชนแล้วรถยนต์ของจำเลยยังลากรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมทั้งสองติดไปด้วยเป็นระยะทางไกล ซึ่งหากโจทก์ร่วมทั้งสองติดอยู่ใต้ท้องรถยนต์ของจำเลยด้วยก็อาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต ดังนี้ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำของจำเลยอาจทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองถึงแก่ความตายได้ และแม้จะรับฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้ขับรถถอยหลังเพื่อจะทับโจทก์ร่วมทั้งสองให้ถึงแก่ความตายทั้ง ๆ ที่มีโอกาสที่จะกระทำได้ดังทำนองที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลนั้นมุ่งถึงลักษณะแห่งการกระทำ และผลของการกระทำที่อาจเกิดขึ้นเป็นหลัก มิได้มุ่งถึงเจตนาของผู้กระทำเป็นหลัก ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 217 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยเมาสุราอย่างมากจนไม่อาจครองสติได้นั้น ข้อนี้เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางพิจารณาว่า วันเกิดเหตุจำเลยเข้าไปดื่มสุราในผับกิซซี่ ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจเสพสุราโดยรู้ว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้มึนเมา จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาความมึนเมานั้นขึ้นเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 66 ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมทั้งสอง อันเป็นการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น