ศาลออกหมายจับเสมียนทนายความยิงผู้ก่อเหตุตายในศาล
ข้อกฏหมายเรื่องการป้องกันตัว
แม้การกระทำของบุคคลจะครบองค์ประกอบที่กฏหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดแล้ว บุคคลนั้นอาจจะไม่ต้องรับผิดหากการกระทำเช่นนั้นมีกฏหมายบัญญัติยกเว้นความผิด เช่น การป้องกันโดยชอบด้วยกฏหมายตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 68
หลักเกณฑ์ การป้องกันตามมาตรา 68
1.มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฏหมาย
2.ภยันตรายนั้นใกล้จะถึง
3.ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น
4.กระทำพอสมควรแก่เหตุ
-กรณีอ้างป้องกันตัวได้ จำเลยมิได้เป็นผู้ก่อเหตุก่อนและมีภยันตรายเกิดจากการประทุษร้ายอันละเลิดต่อกฏหมายเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงหรือกำลังเกิดขี้นอยู่และจำเลยได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาฏีกาที่ 479/2557
จำเลยมิได้เป็นฝ่ายก่อเหตุหาเรื่องก่อนใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับพวก หลังจาก ศ. บุตรชายจำเลยถูกพวกผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงที่บริเวณหน้าท้อง 1 นัด และ ศ. ได้ร้องตะโกนให้จำเลยช่วย ถือว่าภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะใช้อาวุธปืนยิงไปเพื่อป้องกัน ศ. บุตรชายมิให้ถูกพวกผู้ตายยิงซ้ำให้ถึงแก่ความตาย แต่หลังจากนั้นพวกของผู้ตายยังใช้อาวุธปืนยิงไปที่จำเลยอีก 1 นัด ดังนี้ภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันยังไม่หมดสิ้นไป จำเลยมีสิทธิใช้อาวุธปืนยิงโต้ตอบไปอีกเพื่อป้องกันตัวได้ถึงแม้กระสุนปืนที่จำเลยยิงไปถูกผู้ตายซึ่งยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงกลุ่มพวกผู้ตาย แต่ก็เป็นการที่จำเลยยิงโต้ตอบไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นในสภาพที่มองเห็นกันไม่ชัดไม่ทราบว่าเป็นใคร จำเลยย่อมไม่อาจเลือกยิงคนที่ยิงจำเลยและ ศ. ได้ และคงใช้อาวุธยิงสวนไปตามทิศทางที่มีผู้ใช้อาวุธปืนยิงมาที่จำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนและผู้อื่นพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 68
คำพิพากษาฎีกาที่ 1372/2509
วินิจฉัยว่า ผู้ตายรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย ได้แตะต่อยจำเลยจนจำเลยล้มลงห่างไป 1 วา ผู้ตายชักมีดออกจากเอว เดินเข้าหาจำเลย แสดงเจตนาจะแทงจำเลย จำเลยยิงผู้ตาย 1 นัด แต่ผู้ตายยังเดินเข้าหาจำเลยอีก จำเลยจึงยิงผู้ตายอีก 1 นัด ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
-กรณีที่อ้างป้องกันไม่ได้ ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฏหมายนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว
คำพิพากษาฎีกา 6370/2554
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัดแล้ว อ. ได้ชักอาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 ก่อนจริง พฤติการณ์ของ อ. เช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยที่ 1 เห็นว่า อ. ได้ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแก่ตน ดังนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิป้องกัน การที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ อ. 1 นัด ในทันทีทันใด แม้กระสุนจะลั่นหรือไม่ก็ตาม ย่อมถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธยิง อ. แต่กระสุนปืนไม่ลั่นแล้ว อ. ได้วิ่งหลบหนีไป เช่นนี้ เหตุที่จำเลยที่ 1 จะป้องกันสิทธิของตนย่อมหมดไป การที่จำเลยที่ 1 วิ่งไล่ตาม อ. ไป แล้วยิงต่อสู้กับ อ. อีกเช่นนี้ เป็นการกระทำต่อเนื่องจากการที่ อ. ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 ก่อนอันถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยที่ 1 ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ 1 ในครั้งหลังจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72