อำนาจตรวจคำคู่ความเป็นอำนาจของศาลไม่ใช่พนักงานรับฟ้อง
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179/2518
ศาลมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยตรวจสอบเอกสาร และกำหนดเวลาให้จำเลยคัดค้านความไม่ถูกต้องของเอกสารและยอดเงินเป็นหนี้ที่โจทก์ฟ้องหากจำเลยไม่แถลงให้ถือว่าถูกต้องเมื่อปรากฏว่าการยื่นคำร้องขอขยายเวลาตรวจสอบเอกสารของจำเลยมิได้มอบฉันทะให้ผู้ใดมายื่นแทนเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 64 ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องนั้นโดยหลงผิดว่าได้มีการยื่นคำร้องโดยชอบแล้ว จึงมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 เมื่อศาลได้เพิกถอนคำสั่งและยกคำร้องของจำเลยเสียแล้ว ก็เสมือนจำเลยไม่แถลงการณ์ถึงความไม่ถูกต้องของบัญชีโจทก์ตามคำสั่งศาลกรณีต้องถือว่าจำเลยได้ยอมรับยอดหนี้ตามฟ้องของโจทก์เป็นการถูกต้องแล้ว
เจ้าพนักงานศาลไม่มีหน้าที่ทักท้วงหรือแนะนำคู่ความในกระบวนความแต่อย่างใด เป็นหน้าที่ของคู่ความจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายที่บังคับไว้
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2523
การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยทำฎีกามายื่นใหม่ พร้อมกับชำระค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาภายในกำหนด 7 วัน และสั่งรับฎีกาจำเลยไว้เป็นการสั่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา18 ศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลาให้ได้
ก. ทำนาพิพาทที่จำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของครอบครองอยู่ด้วยไปขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วทำนิติกรรมขายให้โจทก์ที่อำเภอโดยจำเลยมิได้ยินยอมให้ ก. ขายที่นาพิพาทส่วนของจำเลยการที่ ก. ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองในที่นาพิพาทส่วนของจำเลยแม้โจทก์รับซื้อไว้โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว ก็ไม่มีสิทธิแต่อย่างใดเพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน จะนำมาตรา1299,1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้แก่กรณีมิได้