ข้าราชการคุกคามทางเพศและศาลยกฟ้องคดีอาญา แต่ถือว่าประพฤติชั่วร้ายแรงต้องไล่ออกจากราชการ
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.1999/2559
การพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอาญา จะต้องรับฟังพยานหลักฐานโดยปราศจากข้อสงสัยจนแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งแตกต่างจากการรับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อลงโทษทางวินัยข้าราชการที่ไม่จำต้องรับฟังพยานหลักฐานจนปราศจากข้อสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดเช่นในคดีอาญา แม้ข้อเท็จจริงในคดีนี้จะได้ความว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำอนาจารและกระทำชำเราผู้เสียหายและคดีถึงที่สุดไปแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการยกฟ้องด้วยเหตุยกประโยชน์แห่งความสงสัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง มิใช่เป็นการยกฟ้องโดยรับฟังเป็นเด็ดขาดว่าผู้ฟ้องคดีมิได้กระทำความผิด เมื่อต่อมาศาลปกครองสูงสุดแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากการไต่สวนผู้เสียหายและมารดาผู้เสียหาย รวมถึงพิจารณาเอกสารทั้งหมดในสำนวนคดีแล้วรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้กระทำความผิดโดยกระทำอนาจารและกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของผู้ฟ้องคดี จึงถือว่าได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 98 วรรคสอง ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยกอุทธรณ์และเพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกเป็นไล่ออกจากราชการและคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงชอบด้วยกฎหมาย