พยานเบิกความไม่เสร็จ เลื่อนคดีไปแต่ไม่ยอมมาศาล
ในคดีอาญา พยานโจทก์มาเบิกความแต่จดจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้อ้างว่าเพิ่งคลอดบุตร จนมีการเลื่อนคดีไปและไม่ยอมมาศาลจนศาลออกหมายจับศาลนำคำเบิกความ ที่พยานยังเบิกความไม่แล้วเสร็จและคำให้การในชั้นสอบสวนมารับฟังลงโทษจำเลยได้เนื่องจากมีพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง โดยรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ตามมาตรา 226/5 ในทางปฏิบัติมีพยานโจทก์จำนวนมาก ถูกข่มขู่ หรือมีการวิ่งเต้นล้มคดีมีการว่าจ้างพยานไม่ให้มาศาลการเป็นทนายความ จะต้องระมัดระวังเพราะทุกวันนี้เงินซื้อได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งกระบวนการยุติธรรมก็ยังมีคนพยายามวิ่งเต้นล้มคดีอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2561
แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยาน คงมีบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวน และภาพถ่ายการชี้ที่เกิดเหตุของผู้เสียหาย อันเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังก็ตาม แต่ปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายมาศาลและเบิกความเป็นพยานโจทก์ประมาณ 10 นาที ผู้เสียหายแถลงว่าจดจำข้อเท็จจริงและเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้เนื่องจากเพิ่งคลอดบุตร ทั้งสองฝ่ายแถลงขอเลื่อนไปสืบพยานปากผู้เสียหายในนัดหน้า ศาลชั้นต้นอนุญาต ครั้นถึงวันนัดผู้เสียหายไม่มาศาล ศาลชั้นต้นออกหมายจับผู้เสียหายเพื่อนำตัวมาเป็นพยานหลายนัด แต่ไม่ได้ตัวมา พฤติการณ์ในการหลบหนีและไม่มาเบิกความในชั้นพิจารณาของผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี ศาลย่อมรับฟังคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นพยานบอกเล่าเพื่อลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง และถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายที่เบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1101 - 1102/2546 และ 1420/2549 ของศาลชั้นต้น ที่พวกของจำเลยถูกฟ้องในการกระทำความผิดเดียวกันนี้ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/5