แชร์ข่าวเท็จ ผิดกฎหมายหรือไม่
สองวันที่ผ่านมามีข่าวรองหัวหน้าพรรคการเมืองแชร์ข่าวพลเอกประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรีว่าเบิกงบหลวงกินกาแฟแก้วละ 12,000 บาท โดยมีการสร้างสำนักงานข่าวปลอมขึ้นมาโดยใช้ชื่อคล้ายกับสำนักข่าว มีผู้แชร์ข้อความเท็จดังกล่าวไปหลายคนรวมทั้งรองหัวหน้าพรรคซึ่งเป็นนายทหารยศพลโท ต่อมาพอทราบว่าเป็นสำนักข่าวปลอม และข้อความเท็จก็ได้ทำการลบข้อความทิ้ง และประกาศขอโทษทางเฟซบุ๊ค มีผู้อ่านหลายท่านถามว่าเมื่อยอมรับว่าแชร์ข้อมูลเท็จและลบทิ้งพร้อมขอโทษถือว่าคดีจบกันแล้วใช่หรือไม่
ตามหลักกฎหมายอาญา ถ้ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นสำเร็จแล้วถือว่ามีความผิดแล้ว คดีนี้เป็นคดีความผิดอาญาแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2) ยอมความไม่ได้ ถึงแม้จะยอมรับผิดและขอโทษ พนักงานสอบสวนก็ต้องทำการรวบรวมพยานหลักฐาน มีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีต่อศาลต่อไป ถ้าผิดจริงมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินห้าแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้อ่านหลายท่านถามว่าถ้าผู้ที่แชร์ข่าวเท็จ ไม่รู้ว่าเป็นสำนักข่าวปลอม คิดว่าเป็นการนำเสนอข่าวโดยสุจริต ไม่รู้ว่าเป็นข่าวปลอม ลำพังแค่แชร์ข้อมูลจะมีความผิดหรือไม่ ตามกฎหมาย ผู้ใดจะต้องรับผิดทางอาญานั้น จะต้องกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ดังนั้น ถ้าผู้ที่แชร์ไม่รู้ว่าเป็นข่าวเท็จก็ถือว่าไม่มีเจตนา แต่การที่จะพิสูจน์เจตนา หลักกฎหมาย กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ผู้ที่แชร์เป็นนายทหารยศพลโท รับราชการมานาน ควรรู้หรือไม่ว่าเบิกงบประมาณหลวงมาซื้อกาแฟแก้วละ 12,000 บาทได้หรือไม่ ควรสงสัยหรือไม่ ว่าเป็นความเท็จ ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเบิกงบประมาณมาซื้อกาแฟแก้วละ 12,000 บาทไม่เป็นเรื่องจริง ก็ไม่ควรจะแชร์ เป็นหน้าที่ของผู้เสียหาย ตำรวจ และอัยการจะต้องนำสืบให้เห็นว่า ผู้ที่แชร์รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ แต่ก็ยังแชร์เพื่อให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ลำพังเพียงแชร์โดยสุจริตไม่ผิดกฎหมายครับ
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง (1) มิได้กระทำต่อประชาชน แต่เป็นการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้กระทำ ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้
ข่าวการเมือง เท่าที่ตรวจสอบส่วนใหญ่เป็นความจริงครึ่งเดียว ถ้าไม่อยากติดคุก แค่ดูไม่ต้องกดLikeกดShareนะครับ