แจ้งความเท็จเพื่อให้ตำรวจจับกุมผู้อื่น
ปัจจุบันมีผู้เสียหายหลายคนที่ไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง แต่ไปแจ้งความกับตำรวจว่าถูกข่มขืนหรือรู้อยู่แล้วว่าผู้ต้องหาไม่ได้กระทำความผิด แต่ไปยืนยันว่าผู้ต้องหากระทำความผิด ทำให้ตำรวจไม่มีเวลาในการสืบสวนก่อนจับ ทำให้ผู้ต้องหาถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง เพราะพนักงานสอบสวนก็ชื่อคนง่าย โดยเชื่อว่าผู้เสียหายแจ้งความตามความเป็นจริง จึงไปจับกุมตัวมาขังไว้ที่โรงพัก ศาลฎีกาเคยตัดสินแล้วว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ตาม ป.อ.มาตรา 310 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 95/2487(ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาฎีกาที่ 95/2487(ประชุมใหญ่)
การร้องเรียนขอให้จับกุมผู้หนึ่งผู้ใดในทันทีทันใด โดยไม่ให้เจ้าพนักงานมีเวลาสืบสวนสอบสวนเสียก่อน ในทำนองใช้เจ้าพนักงานเป็นเครื่องมือซึ่งอาจทำได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 78 นั้น ผู้ร้องขอให้จับ ย่อมมีความผิดตามมาตรา 310 แต่ถ้าเป็นการร้องเรียนเท็จขอให้จับกุมโดยเจ้าพนักงานมีเวลาสืบสวนหรือสอบสวนเสียก่อนแล้ว การจับกุมจึงเกิดขึ้นจากการวินิจฉัยของเจ้าพนักงาน หากเจ้าพนักงานจะจับกุมทันทีโดยไม่สืบสวนหรือสอบสวน ก็หาใช่เป็นความผิดของผู้ร้องเรียนไม่
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 มาตรา 297 หรือมาตรา 298 นั้น
มีข้อสงสัยสอบถามข้อกฎหมายเพิ่มเติมได้ที่ ทีมงานทนายความทนายคลายทุกข์ โทร.02-9485700