วิเคราะห์ข้อกฎหมายคดีหมอข่มขืนคนไข้
คดีนี้สมยอมหรือถูกข่มขืนข้อเท็จจริงยังไม่ยุตินะครับ มีพิรุธในคดีหลายเรื่อง เทียบเคียงแนวคำตัดสินของศาลฎีกา อาจเป็นการสมยอมก็ได้
1. ตอนถูกล่วงละเมิดไม่มีการต่อสู้ขัดขืนไม่มีร่องรอยการต่อสู้ไม่เอะอะ ผิดวิสัยของผู้หญิงทั่วไป
2 .ไม่แจ้งความทันทีทั้งที่เป็นเรื่องร้ายแรง
3. ไม่เคยแจ้งให้กับญาติผู้ใหญ่พ่อแม่หรือบุคคลใกล้ชิดหรือแม้กระทั่งคนรับทราบทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ
4. ไม่มีการไปพบแพทย์เพื่อตรวจภายใน เพราะหากมีการ ร่วมเพศจริง ผู้หญิงที่เป็นผู้เสียหายก็ต้องไปพบแพทย์ เพื่อตรวจภายในอีกครั้งหนึ่ง
5. ไม่มีร่องรอยการข่มขืนและไม่มีการ ตรวจพิสูจน์ภายใน
6. หลังจากเกิดเหตุเป็นเวลานานเพิ่งจะมาแจ้งความ
7. แชทไลน์ต่างๆเกิดจากคำแนะนำของทนาย ให้ติดต่อกับทางคุณหมอเพื่อให้มีพยานหลักฐานในการดำเนินคดี
8. มีการเรียกค่าเสียหายและมีการตกลงค่าเสียหายกัน คดีข่มขืนกระทำชำเราในที่ลับเป็นความผิดอันยอมความได้คดีอาญาน่าจะระงับ
9. มีข้อสงสัยว่าได้เงินได้ทองแล้วเหตุใด จึงมานำเสนอให้เป็นข่าว
10 . หากเป็นการสมยอมแต่ไปแจ้งความเท็จว่าถูกข่มขืน
แนวคำตัดสินของศาลฎีกาถือว่าแจ้งความเท็จต้องการให้คนอื่นติดคุกมีบทลงโทษจำคุกถึง 7 ปีอ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 589/2536
คำพิพากษาศาลฎีกาที่อ้างอิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2536
จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลยนั้น เป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพักของโรงแรมไม่มีผู้ใดรู้เห็น เมื่อโจทก์ร่วมกับจำเลยเบิกความโต้แย้งกันอยู่ จึงต้องฟังเหตุผลและพยานพฤติเหตุแวดล้อมประกอบกัน เมื่อพนักงานโรงแรมเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุตนเองเป็นผู้บริการเปิดม่านรูดให้โจทก์ร่วมและจำเลยขับรถเข้าไปจอดในโรงแรม และเปิดม่านรูดเมื่อรถยนต์ของโจทก์ร่วมและจำเลยจะออกไป จำเลยมิได้ร้องขอความช่วยเหลือประกอบกับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมมิได้ใช้กำลังบังคับหรือใช้อาวุธขู่เข็ญจำเลยเพราะจะร่วมประเวณี พฤติการณ์ดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยร่วมประเวณีกันโดยสมัครใจ เมื่อจำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมาว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลย จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา.