วิเคราะห์คดีดังทางโซเชียล
กรณีผู้หญิงขับรถวีออส เพิ่งออกจากล้างรถ ไม่ดูให้ดีว่ามีแผ่นยางรองเท้าติดอยู่กับคันเร่ง เป็นเหตุให้เบรคไม่อยู่ และชนพนักงานรักษาความปลอดภัยตาย ที่ห้างดังจังหวัดนครราชสีมา ใครต้องรับผิดชอบบ้าง
1. คนขับถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาโดยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องรับผิดข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
2. คนขับต้องรับผิดทางแพ่งเนื่องจากเป็นผู้กระทำละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 437 ผู้ขับขี่มีหน้าที่ต้องตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งาน ถ้าไม่ตรวจดูรถยนต์ให้อยู่ในสภาพมั่นคงปลอดภัย จะอ้างเหตุสุดวิสัยไม่ได้ อ้างฎีกา 3081/2523 ฎีกาที่ 663/2518 นั้น จึงจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง เช่น ค่าทำศพ ถ้าคนตายมี พ่อแม่ก็ต้องชดใช้เกี่ยวกับค่าขาดไร้อุปการะ เป็นต้น
3. หากความเสียหายส่วนหนึ่งเกิดจากการประมาทของร้านล้างรถอัดฉีด ที่วางแผ่นยางทับ คันเร่งจนเป็นต้นเหตุให้พนักงานรักษาความปลอดภัยตาย ถ้าความเสียหายเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของร้านล้างรถอัดฉีด ก็ต้องร่วมรับผิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับผู้ขับขี่ด้วยครับ
ส่วนเจ้าของรถ ถ้าไม่ใช่คนเดียวกันกับคนขับก็ไม่ต้องรับผิด ยกเว้นเจ้าของรถได้จ้างวานใช้ให้คนขับขับรถมาที่เกิดเหตุจน จนเกิดเหตุละเมิด สอบถามข้อกฎหมาย 081 616 1425 หรือ 02 948 5700
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 437 บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง
ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงบุคคลผู้มีไว้ในครอบครองของตน ซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นด้วย
คำพิพากษาฎีกาอ้างอิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3081/2523
ผู้ที่นำยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลมาใช้ในทางมีหน้าที่ต้องตรวจสอบรักษาเปลี่ยนแก้ให้เครื่องจักรกลอยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรงใช้การได้โดยปลอดภัยเสมอ จำเลยไม่มีพยานแสดงว่าเหตุที่เรียกว่าเบรคแตกไม่มีใครจะอาจป้องกันได้ แม้จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรแล้ว จึงอ้างเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2518
จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นตำรวจ มีหน้าที่ขับรถยนต์ของทางราชการกรมตำรวจจำเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจิ๊ปของจำเลยที่ 3 ไปราชการตามหน้าที่โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูรถก่อนจะขับออกไปว่าฝากระโปรงครอบหน้ารถอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ เมื่อรถยนต์คันจำเลยที่ 1 ขับแล่นสวนทางกับรถยนต์คันที่ อ. ขับซึ่งมีโจทก์นั่งมาข้างหน้าด้วยฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถคันจำเลยที่ 1 ขับได้หลุดไปปะทะกระจกหน้ารถคันที่โจทก์นั่ง แต่ทะลุไปถูกหน้าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุที่ฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถหลุดออกไปก็เพราะสปริงขอเกาะฝากระโปรงอ่อนและเบ้าที่รองรับโคนขอรั้งสึก ทำให้เบ้าหลวมเนื่องจากใช้มานานจึงเกิดการเสื่อมสภาพ เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปด้วยความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนพื้นถนนราดยางที่ไม่เรียบและมีลมพัดแรงจึงเกิดความสั่นสะเทือนอย่างแรง ทำให้ขอรั้งหลุดออกลมเข้าไปในฝากระโปรงหน้ารถเมื่อถูกลมแรงๆ จึงหลุดออกไปจากตัวรถซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องระมัดระวังตรวจตราทำให้อยู่ในสภาพดีเสียก่อนนำไปใช้ และจำเลยที่ 1 ก็ทราบแต่หาได้จัดการอย่างใดไม่ดังนี้ เหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เพราะไม่ใช่กระโปรงหน้ารถอยู่ในสภาพแข็งแรงเรียบร้อยตามสภาพแล้วเกิดจากภัยนอกอำนาจซึ่งไม่อาจรู้และป้องกันได้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์