ฟ้องผิดตัวโดยไม่ตรวจสอบว่าเป็นลูกหนี้ของตนจริงหรือไม่.
เมื่อเร็วๆนี้ มีคดีเจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ ผิดตัวเป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท ทำให้ลูกหนี้ได้รับความเสียหายต้องไปร้องเรียนและขอความเป็นธรรมจากสำนักงานอัยการ ผมในฐานะเป็นทนายความมานานแล้ว ขอให้ความรู้ทางกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการฟ้องคดีเป็นรายประเด็นดังนี้เพื่อประโยชน์ของผู้อ่านในคอลัมน์นี้
1.ก่อนฟ้องคดีแพ่ง จะต้องตรวจสอบว่ามีมูลหนี้จริงหรือไม่ มียอดค้างชำระต้นเงินดอกเบี้ยเพียงใด หนี้ถึงกำหนดชำระแล้วหรือไม่ ขาดอายุความหรือยัง ใครเป็นคนโต้แย้งสิทธิและที่สำคัญต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวอ้างดังกล่าวด้วย
2.ก่อนฟ้องจะต้องตรวจสอบภูมิลำเนาของลูกหนี้ ที่ให้ไว้ขณะขอสินเชื่อหรือขณะที่มีการทำนิติกรรมสัญญากันในอดีต รวมทั้งข้อมูลการแจ้งเปลี่ยนภูมิลำเนาด้วย
3.การตรวจสอบเกี่ยวกับตัวตนของลูกหนี้ การฟ้องร้องในคดีแพ่งคู่ความจะต้องมีสภาพเป็นบุคคลอยู่ ถ้าตายแล้วโจทก์ไม่สามารถฟ้องศพเป็นจำเลยได้ ยกเว้นฟ้องทายาทเท่านั้น ลูกหนี้ที่เป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัดก็ต้องตรวจสอบว่าถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนเป็นบริษัทร้างแล้วหรือไม่ ถ้าถูกขีดชื่อออกไปแล้วก็ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลฟ้องไม่ได้เช่นเดียวกัน
4.บุคคลธรรมดาต้องตรวจสอบบัตรประชาชน เลขประจำตัวบุคคล 13 หลัก ชื่อบิดามารดาของลูกหนี้ อายุ ภูมิลำเนาเดิม หลังจากนั้นต้องไปตรวจสอบจากสำนักงานทะเบียนราษฎรและเทียบกับข้อมูลเก่าว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับชื่อนามสกุลซ้ำก็ต้องสอบถามจากเจ้าพนักงานนายทะเบียนท้องถิ่น
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
ตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 976/2543
แม้โจทก์จะมีชื่อและนามสกุลอย่างเดียวกันกับลูกหนี้ของจำเลย แต่ก็มีภูมิลำเนาต่างกัน ทั้งลูกหนี้ของจำเลยไม่เคยย้ายภูมิลำเนา อีกทั้งเมื่อโจทก์ติดต่อทนายความจำเลยแจ้งว่ามิได้เป็นหนี้ ทนายความจำเลยหรือจำเลยกลับยืนยันว่าเป็นหนี้ ถ้าไม่ชำระหนี้จะฟ้องร้องต่อศาล ทำให้โจทก์เกิดความกลัว จึงได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกหนังสือพิมพ์รายวันลงข่าวเผยแพร่ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปสอบสวนหามูลเหตุของข่าวการเป็นหนี้จำเลย และลงความเห็นว่าถ้าข่าวดังกล่าวเป็นจริงโจทก์จะถูกลงโทษ โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์ทางไกลติดต่อญาติพี่น้องเพื่อแจ้งความจริงให้ทราบ และได้ว่าจ้างทนายความให้ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าว ดังนี้ กรณีถือได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อหรือไม่ใยดีต่อผลแห่งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในภายหลังโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรทำการตรวจสอบเกี่ยวกับตัวลูกหนี้ของจำเลยเสียใหม่ตามที่โจทก์แจ้งให้ทนายความของจำเลยหรือจำเลยทราบแล้วว่าโจทก์มิใช่ลูกหนี้ของจำเลย รวมทั้งจำเลยยังได้ยืนยันที่จะฟ้องร้องโจทก์ต่อศาล จนเป็นเหตุให้โจทก์เกิดความกลัวและนำเรื่องไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนจนถูกหนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับนำข่าวไปเผยแพร่ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นการกระทำต่อโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์เสียหาย พฤติการณ์จึงถือได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อันจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อการนั้นแล้วครบถ้วนด้วยองค์ประกอบแห่งความผิดเพื่อละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6040/2551
ผู้ขอเช่าใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนการสื่อสารแห่งประเทศไทยจำเลยที่ 2 ใช้ชื่อว่านางสาวรจนาถยื่นคำขอเช่าใช้บริการโดยใช้บัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านที่มีการปลอมแก้ไขชื่อจากนงค์ลักษณ์เป็นรจนาถ ซึ่งเป็นคนละคนกับโจทก์ และก่อนฟ้องจำเลยที่ 2 สามารถที่จะตรวจความถูกต้องได้ แต่จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้กระทำ กลับฟ้องโจทก์ให้ชดใช้ค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ กรณีถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อหรือไม่ใยดีต่อผลแห่งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร พฤติการณ์จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เพื่อการละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420