ถ้าถือเอาคำท้าตามคำพิพากษาในคดีอื่น คำพิพากษาในคดีอื่นต้องถึงที่สุดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 308/2563
โจทก์ทั้งสองและจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าคดีนี้และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2246/2556 ของศาลชั้นต้นมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่า การรับโอนทรัพย์พิพาทของโจทก์ทั้งสองชอบหรือไม่ คู่ความจึงตกลงกันท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาในคดีดังกล่าวที่วินิจฉัยเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท หากผลคดีดังกล่าวเป็นอย่างไรให้ถือตามผลของคำพิพากษาในคดีดังกล่าวที่วินิจฉัยเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท หากผลคดีดังกล่าวเป็นอย่างไรให้ถือตามผลคดีนั้นและให้ศาลวินิจฉัยเฉพาะในเรื่องค่าเสียหายโดยคู่ความไม่ติดใจในประเด็นอื่น ตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 ตามข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวคู่ความมิได้ตกลงกันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2246/2556 เป็นข้อวินิจฉัยตามคำท้า คำพิพากษาศาลชั้่นต้นอาจถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไขกลับ หรืองดเสียได้ จึงต้องแปลเจตนาของคู่ความว่าประสงค์ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อวินิจฉัยในประเด็นที่ท้ากัน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีนั้นแล้ว ส. ยื่นอุทธรณ์และฎีกาต่อมา ดังนั้นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2246/2556 ของศาลชั้นต้นจึงยังไม่ถึงที่สุด นอกจากนี้ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยท้ากัน จึงไม่อาจนำผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมาเป็นข้อวินิจฉัยในคดีนี้ได้ แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฎว่าคดีแพ่งที่คู่ความตกลงท้ากันนั้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้ว โดยวินิจฉัยว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยรับโอนทรัพย์พิพาทมาโดยชอบตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 36 ส. ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาท คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นตามฎีกาของ ส. อีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2562 ท้ายรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ถือว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทตรงตามคำท้าที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยตกลงกันแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 โจทก์ทั้งสองและจำเลยจึงต้องผูกพันตามคำท้าที่ตกลงตามผลของคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว คดีนี้จึงต้องฟังว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาโดยชอบ เมื่อบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด และต่อมาบรรษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้