เมื่อมีการยอมความหรือถอนฟ้องสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4305/2562
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในข้อหารับของโจร แต่ข้อเท็จริงตามที่ปรากฎในการพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงจึงไม่ใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ทั้งจำเลยที่ 3 ไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานร่วมกันฉ้อโกงเป็นความผิดต่อส่วนตัวอันจะถอนฟ้องหรือยอมความในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 35 วรรคสอง เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ในระหว่างระยะเวลายื่นฎีกาคดียังไม่ถึงที่สุดและจำเลยที่ 3 ไม่ได้คัดค้าน จึงเป็นการฟ้องร้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39(2)
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2548
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ แม้ศาลอาจลงโทษจำเลยฐานยักยอกได้ โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม แต่ความผิดฐานยักยอกเป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อมีการยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) แล้ว จึงทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานนี้ระงับไป ต้องพิพากษายกฟ้อง